THE MEANING OF THE HIP-HOP
ฮิป-ฮอป มีความหมายถึงในด้านดนตรีแนวฮิปฮอป ที่เป็นที่นิยมสำหรับวัยรุ่นอเมริกาและทั่วโลก จนถูกยกระดับให้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีรากฐานการพัฒนามาจากชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และ ชาวละติน โดยในช่วงยุค 70' หลังจากที่ดนตรีดิสโก้ที่พัฒนามาจาก แนวเพลงฟังค์ ในแบบของโมทาวน์ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ทำให้มีการเปิดแผ่นเพลงในคลับต่าง ๆ และด้วยการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยี เกิดการสร้าง loop, beat ใหม่ ๆ ขึ้นมา ดนตรีฮิปฮอป จึงถือกำเนิดขึ้น
MINGZ THE HIP HOP STORY
วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
HIPHOPSTORY
HIP-HOP STORY
ประวัติ
คำว่า ฮิปฮอป มักถูกยกเครดิตให้กับ Keith Cowboy แร็ปเปอร์วง Grandmaster Flash & The Furious Five ถึงแม้ว่าในยุคนั้นศิลปินอย่าง LoveBug Starski, Keith Cowboy, และ DJ Hollywood จะถูกเรียกในนามของ "Disco Rap" แต่เครดิตก็มักยกให้กับ Keith Cowboy
ในช่วงยุค 70' เมื่อวัยรุ่นในย่านละแวกใกล้เคียงต้องการจะจัดงานปาร์ตี้ รื่นเริง (block party) ดนตรีฮิปฮอปจึงได้รับการแพร่ขยายเป็นที่รู้จัก ซึ่งฮิปฮอปก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นแนวดนตรีชนิดหนึ่งอีกต่อไป แต่ยังได้รับการยกระดับให้เป็น วัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย โดย วัฒนธรรมฮิปฮอปจะเกิดขึ้นได้โดยต้องมีปัจจัย 4 อย่าง คือ
กราฟฟิตี (graffiti) เป็นการเพนท์ พ่น กำแพง ความหมายเพื่อการเชื้อเชิญ แขก หรือสาว ๆ ในละแวกนั้นว่า งานปาร์ตี้เริ่มที่ไหนเมื่อไหร่
ดีเจ (DJ) ซึ่งมาจากคำว่า disc jockey ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดแผ่นเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้
บี-บอย (B-Boy) - เป็นกลุ่มคนที่มาเต้นในช่วงระหว่างที่ดีเจกำลังเซ็ทแผ่นเพลง เพื่อเป็นการคั่นเวลา ซึ่งลักษณะการเต้น เราจะเรียกว่าเบรกแดนซ์(break dance)
เอ็มซี (MC) เป็นแร็ปเปอร์ซึ่งหลังจากที่ ดีเจ เซ็ทแผ่นเรียบร้อยแล้ว MC จะทำหน้าที่ดำเนินงาน และงานปาร์ตี้ก็ได้เริ่มขึ้น
คนแรกตอนต้นยุค 70s เริ่มจากดีเจในสมัยนั้นที่เป็นส่วนในการเล่นดนตรีแนวเบรก-บีท (break-beat) ซึ่งเป็นที่นิยมในการเต้นรำในสมัยนั้น DJ Kool Herc และ Grandmaster Flash ได้แยกการดีเจออกมาโดยเน้นเพื่อให้เป็นการเต้นรำได้ตลอดทั้งคืน เบรก-บีทนั้นก็พัฒนามาจากเพลงฟังก์ที่มีพวกเครื่องเล่นเพอร์คัชชันเล่นอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นการพัฒนาของดีเจ รวมถึงคัตติง (cutting) ด้วย
การแร็ปนั้น พวก MC ตอนแรกจะพูดเพื่อโปรโมทให้ดีเจในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ แต่เริ่มมีการพัฒนาโดยการใส่เนื้อร้องลงไป โดยเนื้อหาอาจจะเกี่ยวกับชีวิต เรื่องรอบตัว ยาเสพติด เซ็กส์ โดย Melle Mel มักถูกยกเครดิตว่าเป็น MC คนแรก
ปลายยุค 70s ดีเจหลายคนได้ออกแผ่น โดยมีการแร็ปลงจังหวะเพลง เพลงที่ดัง ๆ มีอย่าง "Supperrappin" ของ Grandmaster Flash & The Furious Five, "The Breaks" ของ Kurtis Blow และ "Rapper's Delight" ของ The Sugar Hill Gang เป็นต้น
จนกระทั่งในปี 1983
ประวัติ
คำว่า ฮิปฮอป มักถูกยกเครดิตให้กับ Keith Cowboy แร็ปเปอร์วง Grandmaster Flash & The Furious Five ถึงแม้ว่าในยุคนั้นศิลปินอย่าง LoveBug Starski, Keith Cowboy, และ DJ Hollywood จะถูกเรียกในนามของ "Disco Rap" แต่เครดิตก็มักยกให้กับ Keith Cowboy
ในช่วงยุค 70' เมื่อวัยรุ่นในย่านละแวกใกล้เคียงต้องการจะจัดงานปาร์ตี้ รื่นเริง (block party) ดนตรีฮิปฮอปจึงได้รับการแพร่ขยายเป็นที่รู้จัก ซึ่งฮิปฮอปก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นแนวดนตรีชนิดหนึ่งอีกต่อไป แต่ยังได้รับการยกระดับให้เป็น วัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย โดย วัฒนธรรมฮิปฮอปจะเกิดขึ้นได้โดยต้องมีปัจจัย 4 อย่าง คือ
กราฟฟิตี (graffiti) เป็นการเพนท์ พ่น กำแพง ความหมายเพื่อการเชื้อเชิญ แขก หรือสาว ๆ ในละแวกนั้นว่า งานปาร์ตี้เริ่มที่ไหนเมื่อไหร่
ดีเจ (DJ) ซึ่งมาจากคำว่า disc jockey ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดแผ่นเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้
บี-บอย (B-Boy) - เป็นกลุ่มคนที่มาเต้นในช่วงระหว่างที่ดีเจกำลังเซ็ทแผ่นเพลง เพื่อเป็นการคั่นเวลา ซึ่งลักษณะการเต้น เราจะเรียกว่าเบรกแดนซ์(break dance)
เอ็มซี (MC) เป็นแร็ปเปอร์ซึ่งหลังจากที่ ดีเจ เซ็ทแผ่นเรียบร้อยแล้ว MC จะทำหน้าที่ดำเนินงาน และงานปาร์ตี้ก็ได้เริ่มขึ้น
คนแรกตอนต้นยุค 70s เริ่มจากดีเจในสมัยนั้นที่เป็นส่วนในการเล่นดนตรีแนวเบรก-บีท (break-beat) ซึ่งเป็นที่นิยมในการเต้นรำในสมัยนั้น DJ Kool Herc และ Grandmaster Flash ได้แยกการดีเจออกมาโดยเน้นเพื่อให้เป็นการเต้นรำได้ตลอดทั้งคืน เบรก-บีทนั้นก็พัฒนามาจากเพลงฟังก์ที่มีพวกเครื่องเล่นเพอร์คัชชันเล่นอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นการพัฒนาของดีเจ รวมถึงคัตติง (cutting) ด้วย
การแร็ปนั้น พวก MC ตอนแรกจะพูดเพื่อโปรโมทให้ดีเจในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ แต่เริ่มมีการพัฒนาโดยการใส่เนื้อร้องลงไป โดยเนื้อหาอาจจะเกี่ยวกับชีวิต เรื่องรอบตัว ยาเสพติด เซ็กส์ โดย Melle Mel มักถูกยกเครดิตว่าเป็น MC คนแรก
ปลายยุค 70s ดีเจหลายคนได้ออกแผ่น โดยมีการแร็ปลงจังหวะเพลง เพลงที่ดัง ๆ มีอย่าง "Supperrappin" ของ Grandmaster Flash & The Furious Five, "The Breaks" ของ Kurtis Blow และ "Rapper's Delight" ของ The Sugar Hill Gang เป็นต้น
จนกระทั่งในปี 1983
ฮิปฮิอปถูกย้ำให้ชัดเจนขึ้นเมื่อ Afrika Bambaataa and the Soulsonic Force ได้ออกแผ่นที่ชื่อว่า "Planet Rock" แทนที่จะเป็นการแร็ปในจังหวะดิสโก้ Bambaataa ได้ใช้เสียงอีเลคโทรนิกแบบใหม่ขึ้นมาแทน โดยเทคโนโลยีซินธิไซเซอร์สมัยนั้น จนกระทั่ง ฮิปฮอปเข้าสู่กระแสหลัก เป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 90s ซึ่งในปัจจุบันมีศิลปินแนวฮิปฮอปอยู่จำนวนมาก
แฟชั่นฮิปฮอป (อังกฤษ: Hip-hop fashion) เป็นลักษณะเด่นของการแต่งตัว มีที่มาจากวัยรุ่นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และวัยรุ่นละตินในย่านบร็องซ์(นิวยอร์ก) และต่อมากระจายอิทธิพลสู่ฮิปฮอปในแถบอื่นอย่าง ลอสแอนเจลิส ชิคาโก้ ฟิลาเดลเฟีย พิตต์เบิร์จ อีสต์เบย์ (บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก) และ ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในแต่ละเมือง มีสไตล์ที่ส่งผลต่อกระแสแฟชั่นโลกในปัจจุบัน
แฟชั่นฮิปฮอปเป็นการแสดงเอกลักษณ์ ทัศนคติต่อวัฒนธรรมฮิปฮอป ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน และยังได้รับความนิยมก้าวสู่กระแสหลักของแฟชั่นโลกซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
แฟชั่นฮิปฮอป (อังกฤษ: Hip-hop fashion) เป็นลักษณะเด่นของการแต่งตัว มีที่มาจากวัยรุ่นชาวแอฟริกัน-อเมริกัน และวัยรุ่นละตินในย่านบร็องซ์(นิวยอร์ก) และต่อมากระจายอิทธิพลสู่ฮิปฮอปในแถบอื่นอย่าง ลอสแอนเจลิส ชิคาโก้ ฟิลาเดลเฟีย พิตต์เบิร์จ อีสต์เบย์ (บริเวณอ่าวซานฟรานซิสโก) และ ทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งในแต่ละเมือง มีสไตล์ที่ส่งผลต่อกระแสแฟชั่นโลกในปัจจุบัน
แฟชั่นฮิปฮอปเป็นการแสดงเอกลักษณ์ ทัศนคติต่อวัฒนธรรมฮิปฮอป ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ในอดีตจนปัจจุบัน และยังได้รับความนิยมก้าวสู่กระแสหลักของแฟชั่นโลกซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ต้นทศวรรษที่ 1980
มีการเกิดขึ้นของสปอร์ตแวร์ เครื่องแต่งกายกีฬา และแบรนด์แฟชั่น อย่างเช่น Le Coq Sportif, Kangol, อาดิดาส และ ไนกี้ ซึ่งเกิดมาพร้อมกับฮิปฮอป ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1980 ดาราฮิปฮอปในสมัยนั้นใส่เสื้อผ้าลักษณะอย่าง เสื้อวิ่งสีสว่างมียี่ห้อ เสื้อหนังแกะ เสื้อร่ม รองเท้า C&J Clark, รองเท้าบู้ต Dr. Martens และรองเท้าแตะ (ส่วนใหญ่ยี่ห้ออาดิดาส) ทรงผมที่นิยมในช่วงนั้นคือ Jheri curl ฮิตจนปลายทศวรรษ 1980 จน hi-top ที่สร้างความนิยมโดย วิลล์ สมิธ (The Fresh Prince) และ คริสโตเฟอร์ "คิด" รีด จาก คิด แอนด์ เพลย์
เครื่องประดับที่ได้รับความนิยม อย่างเช่น แว่นตาใหญ่ ๆ (Cazals หรือ Gazelles), หมวกแบบ bucket hat ยี่ห้อ Kangol, ป้ายชื่อ ,เข็มขัดชื่อ,แหวนเยอะๆ ส่วนทองและอัญมณีก็ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 1980 ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของแฟชั่นฮิปฮอปจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วเครื่องประดับผู้ชายจะเน้นโซ่ทองชิ้นใหญ่ ๆ ส่วนผู้หญิงจะเน้นตุ้มหูทอง Kurtis Blow และ Big Daddy เป็นผู้นำกระแสสร้อยคอทองคำ ส่วนผู้หญิง Roxanne Shanté จากวง Salt-N-Pepa นำกระแสตุ้มหูวงแหวนทองขนาดใหญ่ เครื่องประดับเหล่านี้แสดงถึงชื่อเสียงและฐานะ และบางครั้งก็มีแนวทางสื่อถึงดินแดนแอฟริกา
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 แฟชั่นฮิปฮอปก็ถือเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งขององค์ประกอบโอลด์สคูลฮิปฮอป และมีเพลงที่หวนรำลึกถึงช่วงนั้นอยางเพลงของ Ahmad ในปี 1994 ที่ชื่อว่า "Back in the Day" และ "Back in the Day" ซิงเกิ้ลในปี 2002 ของมิซซี เอลเลียต
กระแสความนิยมของคนดำเพิ่มมากขึ้นจากอิทธิพลของแร็ปตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 แฟชั่นและทรงผมแสดงถึงอิทธิพลชาวแอฟริกัน กางเกงเบลาซีได้รับความนิยมโดยเฉพาะแร็ปเปอร์แนวเต้นรำอย่าง เอ็มซี แฮมเมอร์ ,Fezzes หมวก kufi แบบอียิปต์, ชุดแบบ Kente ,โซ่แบบแอฟริกัน, ทรงผมเดรดล็อก , เสื้อผ้าในสีแดง ดำ เขียว ได้รับความนิยมในช่วงนั้น ศิลปินผู้นำอย่างเช่น Queen Latifah, KRS-One, Public Enemy, และ X-Clan ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 ศิลปินป็อปแร็ปอย่างเช่น The Fresh Prince, Kid 'n Play และ เล็ฟต์อาย แห่งวงทีแอลซี นำแฟชั่นหมวกแค็ปเบสบอล และเสื้อผ้าสีสะท้อนแสง คริสครอสนำแฟชั่นใส่เสื้อผ้ากลับหลัง Kwamé จุดประกายแฟชั่นเสื้อผ้าลายจุดในช่วงสั้น ๆ ขณะที่ศิลปินคนอื่นแต่งตัวแบบเสื้อผ้าช่วงกลางยุคทศวรรษ 1980
ไนกี้ได้ร่วมงานกับนักบาสเกตบอลชื่อดัง ไมเคิล จอร์แดน ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่ง ไนกี้ได้บุกตลาดรองเท้าผ้าใบแนวสตรีทแวร์สำหรับคนเมืองในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าอื่นอย่าง Champion, Carhartt และ Timberland ก็มีส่วนครองตลาด ในฝั่งตะวันออกของฮิปฮอปอเมริกัน อย่าง วู-แทง แคลน และ Gangstarr ที่มีแนวการแต่งกายดูแบบกีฬา
N.W.A. ศิลปินรุ่นบุกเบิกแนวแก๊งก์สตา ได้รับความนิยมในเพลงแนวแก๊งก์สตาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ใส่เสื้อผ้า กางเกงยี่ห้อ Dickies ,เสื้อและแจ็กเก็ตลายตาราง, รองเท้าผ้าใบ Chuck Taylors และหมวกแก๊ปเบสบอลสีดำ แจ็กเก็ต Raiders Starter นอกจากนี้แฟชั่น แจ็กเก็ตรูปแบบนี้เป็นภาพลักษณ์ของแก๊งก์โจรกรรมสำหรับสื่อมวลชน
แฟชั่นฮิปฮอปในยุคนั้นยังมีอิทธิพลต่อแฟชั่นระดับสูง ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 Isaac Mizrahi ได้รับอิทธิพลจากช่างลิฟท์ของเขาที่ใส่โซ่ทองชิ้นใหญ่ คอลเลกชั่นนี้ของเขาได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแฟชั่นฮิปฮอป นางแบบใส่เสื้อรัดรูปสีดำ โซ่ทอง เข็มขัดชื่อสีทอง แจ็กเก็ตสีดำกับหมวกเฟอร์ ในต้นยุค 1990 แชนเนลมีการโชว์แฟชั่นที่รับอิทธิพลจากฮิปฮอปอยู่หลายโชว์ หนึ่งในนั้น นางแบบใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำและมีโซ่ทอง อีกชุด ใส่ชุดยาวสีดำ มีเครื่องประดับหนัก ๆ อย่าง โซ่กุญแจสีเงิน (มีการอ้างว่าเหมือนกับโซ่ของ Treach แห่งวง Naughty by Nature
แก๊งก์สตาสไตล์
แก็งก์สตาสไตล์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า "แนวแก๊งก์" แฟชั่นแบบแก็งก์สตาเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในแฟชั่นฮิปฮอป ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 แฟชั่นฮิปฮอป ได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของอันธพาลข้างถนน และนักโทษ
แร็ปเปอร์ฝั่งเวสต์โคสต์ นำเอาสไตล์ของพวกเม็กซิกัน-อเมริกันมา อย่างเช่น การใส่กางเกงหลวม ๆ , รอยสักสีดำ, มีการสักบนร่างกายเป็นสัญลักษณ์แก็งก์ หรือมีการโผกผ้า Banadas สีต่างๆนาๆเพื่อบ่งบอกแก๊งก์ เช่นผ้าสีแดงเป็นแก็งก์ Bloods หรือสีฟ้าเป็นแก็งก์ Crips เป็นต้น , การเอาเสื้อเชิร์ตหลุดออกจากนอกกางเกงหนึ่งข้าง ยีนส์สีเข้มแบบนักโทษก็ได้รับความนิยม และสไตล์การใส่กางเกงหลุดตูด เอวต่ำโดยไม่มีเข็มขัด ก็เป็นสไตล์ที่มาจากในคุก รวมถึงกิริยา สัญลักษณ์ทางมือ ก็มาจากวัยรุ่นชาวแอฟริกัน-อเมริกันแถบลอสแอนเจลิสก่อน แล้วจึงขยับขยายโดยสังคมฮิปฮอปในทางกว้าง
แฟชั่นฮิปฮอปในหมู่คนรวย
ฮิปฮอปทางฝั่งเวสต์โคสต์ สังคมฮิปฮอปได้หวนสู่แฟชั่นแก๊งก์สเตอร์ในยุค 1930-1940 มาเป็นแรงบันดาลใจ อิทธิพลมาเฟีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Scarface ในปี 1983 ที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวฮิปฮอป
มีแร็ปเปอร์หลายคนแต่งตัวเหมือนพวกแก๊งก์เตอร์ในยุคนั้น อย่างเช่น มีหมวกแบบ bowler, ใส่สูทเสื้อในสองชั้น, เสื้อเชิร์ตผ้าไหม, รองเท้าหนังจระเข้ และในบางแห่งในมิดเวสต์ รวมถึงดีทรอยต์ เป็นสไตล์สำคัญ สไตล์หนึ่งของฮิปฮอปที่นั่น
ในฝั่งอีสต์โคสต์ คำว่าแฟชั่น "ghetto fabulous" คิดคำโดย ฌอน โคมบส์ ก็ได้รับความนิยม มีผู้แต่งกายอย่าง โคมบส์ ,โนทอเรียส บีไอจี, เฟธ อีแวนส์ และรัซเซลล์ ซิมมอนส์
ฮิป-ป็อป
ในยุคของฮิป-ป็อป ยังมีการแบ่งแยกแฟชั่นระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ที่แต่ก่อนดูคล้ายคลึงกัน แฟชั่นฮิปฮอปผู้หญิงจะเลียนแบบการแต่งกายของผู้ชาย อย่างเช่นใส่ยีนส์หลวม ๆ ,แว่นตากันแดด "Loc", รองเท้าบู้ตหนัก ๆ ศิลปินที่แต่งตัวอย่าง ดาแบร็ต ซึ่งเธอจะแต่งหน้าบ้าง ต่อมาอุตสาหกรรมแฟชั่นได้ผลิตกางเกงและบู้ตที่ดูเป็นผู้หญิงขึ้น ศิลปินหญิงที่เป็นผู้นำเช่น ลิล คิม และ ฟ็อกซี บราวน์ ที่มีรูปลักษณ์ตื่นเต้น ผจญภัย ส่วนแฟชั่นฮิปฮอปผู้หญิงที่ดูหรูหรา เช่น คิโมรา ลี ซิมมอนส์ เจ้าของไลน์เสื้อผ้า Baby Phat ขณะที่ลอรีน ฮิลล์ และ อีฟ ดูเป็นอนุรักษณ์นิยม แต่ยังคงนำความรู้สึกความเป็นผู้หญิงและฮิปฮอปเข้าด้วยกันแนวเพลงฮิป-ป็อป ได้รับความนิยมในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จากผลงานแรกเริ่มของฌอน คอมบ์ส แถบนิวยอร์ก ในเวลานั้นแฟชั่นของเขา จะมีลักษณะเสื้อสีสดใส ชุดนักบินพีวีซีสีบาดตา และเครื่องประดับ เขานำแฟชั่นสู่วงการฮิปฮอป และนำทิศทางความเจิดจ้าของสี แสง รวมถึงในมิวสิกวิดีโอที่เขาร่วมสร้าง ฌอน คอมบ์สยังได้ออกไลน์เสื้อผ้า และยังใส่เสื้อผ้าอย่าง Karl Kani และ FUBU เขานำฮิปฮอปก้าวเข้าสู่กระแสหลัก ผลก็คือ กระแสแฟชั่นฮิปฮอปหลายล้านเหรียญดอลล่าร์ และการกลับมาของทรงผมแบบดั้งเดิมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน อย่าง คอร์นโรว์ และ แอฟโฟร์ รวมถึงทรงผม Caesar สำหรับผู้ที่ไว้ผมแบบคอร์นโรว์ และ Caesar จะรักษาผมโดยการใส่ ดู-แร็ก ขณะนอนหลับหรือกิจกรรมในบ้าน จนดู-แร็ก ก็กลายเป็นแฟชั่นฮิปฮอปอีกอย่างหนึ่ง
วัฒนธรรมเครื่องประดับ
การใช้แพล็ตตินัมได้รับความนิยมในที่สุด ไบรอัน วิลเลียม แร็ปเปอร์จากค่าย แคชมันนีเรคคอร์ด ประดับเพชรที่ฟันอย่างถาวร รวมถึงมีแฟชั่นติดเครื่องประดับลงที่ฟันที่สามารถถอดได้ จนมาถึงการมาถึงของแฟชั่นเครื่องประดับ ในการเปลี่ยนศตวรรษใหม่ เกิดแบรนด์หรูหราได้ก้าวสู่ตลาดแฟชั่นฮิปฮอป รวมไปถึงแบรนด์หรูหราอย่าง Gucci และ Louis Vuitton ที่มีแฟชั่นฮิปฮอปปรากฏในมิวสิกวิดีโอและภาพยนตร์ในช่วงกลางถึงปลายยุคทศวรรษ 1990 แพล็ตตินัมได้มาแทนที่ทองคำ สำหรับแฟชั่นฮิปฮอป ศิลปินและแฟนเพลงสวมใส่เครื่องประดับจากแพล็ตตินัม (หรือเงิน) และมักประดับไปด้วยเพชร เจย์-ซี ,จูวีไนล์ และ เดอะฮ็อตบอยส์ ตอบรับกระแสนี้อย่างมาก
สปอร์ตแวร์
ทอมมี ฮิลฟิเกอร์ เป็นหนึ่งในแบรนด์ด้านสปอร์ตแวร์ที่โดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 1990 ถึงแม้ว่า Polo, Calvin Klein, Nautica, และ DKNY ก็โด่งดังเช่นกัน สนู๊ปด็อกใส่เสื้อถักของทอมมี ฮิลฟิเกอร์ ออกรายการในแซทเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์ ผลคือในวันถัดมาร้านในนิวยอร์กก็ขายเสื้อแบบนี้หมดอย่างรวดเร็ว ทอมมี ฮิลฟิเกอร์มีตลาดแฟชั่นฮิปฮอปใหม่ คือนำแร็ปเปอร์ชื่อดังมาช่วยในการประชาสัมพันธ์บริษัท อย่างเช่น ดิดดี้ และ คูลิโอ ก็เคยเดินโชว์บนแคทวอล์คแล้ว
ส่วนแบรนด์อื่นอย่าง FUBU, Ecko Unlimited, Mecca USA, Lugz, Rocawear, Boss Jeans by IG Design, และ Enyce ก็ก้าวสู่วงการสตรีทแวร์มากขึ้น โดยพวกเขาตามทอมมี ฮิลฟิเกอร์ ด้วยการใส่โลโก้ขนาดใหญ่บนผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบอเมริกัน
Throwback jerseys
Throwback jerseys
เครื่องประดับที่ได้รับความนิยม อย่างเช่น แว่นตาใหญ่ ๆ (Cazals หรือ Gazelles), หมวกแบบ bucket hat ยี่ห้อ Kangol, ป้ายชื่อ ,เข็มขัดชื่อ,แหวนเยอะๆ ส่วนทองและอัญมณีก็ได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 1980 ถือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของแฟชั่นฮิปฮอปจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปแล้วเครื่องประดับผู้ชายจะเน้นโซ่ทองชิ้นใหญ่ ๆ ส่วนผู้หญิงจะเน้นตุ้มหูทอง Kurtis Blow และ Big Daddy เป็นผู้นำกระแสสร้อยคอทองคำ ส่วนผู้หญิง Roxanne Shanté จากวง Salt-N-Pepa นำกระแสตุ้มหูวงแหวนทองขนาดใหญ่ เครื่องประดับเหล่านี้แสดงถึงชื่อเสียงและฐานะ และบางครั้งก็มีแนวทางสื่อถึงดินแดนแอฟริกา
ในช่วงทศวรรษที่ 1980 แฟชั่นฮิปฮอปก็ถือเป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งขององค์ประกอบโอลด์สคูลฮิปฮอป และมีเพลงที่หวนรำลึกถึงช่วงนั้นอยางเพลงของ Ahmad ในปี 1994 ที่ชื่อว่า "Back in the Day" และ "Back in the Day" ซิงเกิ้ลในปี 2002 ของมิซซี เอลเลียต
กระแสความนิยมของคนดำเพิ่มมากขึ้นจากอิทธิพลของแร็ปตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1980 แฟชั่นและทรงผมแสดงถึงอิทธิพลชาวแอฟริกัน กางเกงเบลาซีได้รับความนิยมโดยเฉพาะแร็ปเปอร์แนวเต้นรำอย่าง เอ็มซี แฮมเมอร์ ,Fezzes หมวก kufi แบบอียิปต์, ชุดแบบ Kente ,โซ่แบบแอฟริกัน, ทรงผมเดรดล็อก , เสื้อผ้าในสีแดง ดำ เขียว ได้รับความนิยมในช่วงนั้น ศิลปินผู้นำอย่างเช่น Queen Latifah, KRS-One, Public Enemy, และ X-Clan ในช่วงต้นทศวรรษที่ 1990 ศิลปินป็อปแร็ปอย่างเช่น The Fresh Prince, Kid 'n Play และ เล็ฟต์อาย แห่งวงทีแอลซี นำแฟชั่นหมวกแค็ปเบสบอล และเสื้อผ้าสีสะท้อนแสง คริสครอสนำแฟชั่นใส่เสื้อผ้ากลับหลัง Kwamé จุดประกายแฟชั่นเสื้อผ้าลายจุดในช่วงสั้น ๆ ขณะที่ศิลปินคนอื่นแต่งตัวแบบเสื้อผ้าช่วงกลางยุคทศวรรษ 1980
ไนกี้ได้ร่วมงานกับนักบาสเกตบอลชื่อดัง ไมเคิล จอร์แดน ตั้งแต่ปี 1984 เป็นต้นมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญจุดหนึ่ง ไนกี้ได้บุกตลาดรองเท้าผ้าใบแนวสตรีทแวร์สำหรับคนเมืองในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 และต้นทศวรรษที่ 1990 ส่วนแบรนด์เสื้อผ้าอื่นอย่าง Champion, Carhartt และ Timberland ก็มีส่วนครองตลาด ในฝั่งตะวันออกของฮิปฮอปอเมริกัน อย่าง วู-แทง แคลน และ Gangstarr ที่มีแนวการแต่งกายดูแบบกีฬา
N.W.A. ศิลปินรุ่นบุกเบิกแนวแก๊งก์สตา ได้รับความนิยมในเพลงแนวแก๊งก์สตาในช่วงปลายทศวรรษ 1980 ใส่เสื้อผ้า กางเกงยี่ห้อ Dickies ,เสื้อและแจ็กเก็ตลายตาราง, รองเท้าผ้าใบ Chuck Taylors และหมวกแก๊ปเบสบอลสีดำ แจ็กเก็ต Raiders Starter นอกจากนี้แฟชั่น แจ็กเก็ตรูปแบบนี้เป็นภาพลักษณ์ของแก๊งก์โจรกรรมสำหรับสื่อมวลชน
แฟชั่นฮิปฮอปในยุคนั้นยังมีอิทธิพลต่อแฟชั่นระดับสูง ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1980 Isaac Mizrahi ได้รับอิทธิพลจากช่างลิฟท์ของเขาที่ใส่โซ่ทองชิ้นใหญ่ คอลเลกชั่นนี้ของเขาได้รับอิทธิพลอย่างสูงจากแฟชั่นฮิปฮอป นางแบบใส่เสื้อรัดรูปสีดำ โซ่ทอง เข็มขัดชื่อสีทอง แจ็กเก็ตสีดำกับหมวกเฟอร์ ในต้นยุค 1990 แชนเนลมีการโชว์แฟชั่นที่รับอิทธิพลจากฮิปฮอปอยู่หลายโชว์ หนึ่งในนั้น นางแบบใส่เสื้อแจ็กเก็ตหนังสีดำและมีโซ่ทอง อีกชุด ใส่ชุดยาวสีดำ มีเครื่องประดับหนัก ๆ อย่าง โซ่กุญแจสีเงิน (มีการอ้างว่าเหมือนกับโซ่ของ Treach แห่งวง Naughty by Nature
แก๊งก์สตาสไตล์
แก็งก์สตาสไตล์ หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อว่า "แนวแก๊งก์" แฟชั่นแบบแก็งก์สตาเป็นสิ่งที่พบเห็นได้บ่อยในแฟชั่นฮิปฮอป ในช่วงกลางทศวรรษที่ 1990 แฟชั่นฮิปฮอป ได้รับอิทธิพลจากการแต่งกายของอันธพาลข้างถนน และนักโทษ
แร็ปเปอร์ฝั่งเวสต์โคสต์ นำเอาสไตล์ของพวกเม็กซิกัน-อเมริกันมา อย่างเช่น การใส่กางเกงหลวม ๆ , รอยสักสีดำ, มีการสักบนร่างกายเป็นสัญลักษณ์แก็งก์ หรือมีการโผกผ้า Banadas สีต่างๆนาๆเพื่อบ่งบอกแก๊งก์ เช่นผ้าสีแดงเป็นแก็งก์ Bloods หรือสีฟ้าเป็นแก็งก์ Crips เป็นต้น , การเอาเสื้อเชิร์ตหลุดออกจากนอกกางเกงหนึ่งข้าง ยีนส์สีเข้มแบบนักโทษก็ได้รับความนิยม และสไตล์การใส่กางเกงหลุดตูด เอวต่ำโดยไม่มีเข็มขัด ก็เป็นสไตล์ที่มาจากในคุก รวมถึงกิริยา สัญลักษณ์ทางมือ ก็มาจากวัยรุ่นชาวแอฟริกัน-อเมริกันแถบลอสแอนเจลิสก่อน แล้วจึงขยับขยายโดยสังคมฮิปฮอปในทางกว้าง
แฟชั่นฮิปฮอปในหมู่คนรวย
ฮิปฮอปทางฝั่งเวสต์โคสต์ สังคมฮิปฮอปได้หวนสู่แฟชั่นแก๊งก์สเตอร์ในยุค 1930-1940 มาเป็นแรงบันดาลใจ อิทธิพลมาเฟีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้แรงบันดาลใจจากภาพยนตร์เรื่อง Scarface ในปี 1983 ที่ได้รับความนิยมในหมู่ชาวฮิปฮอป
มีแร็ปเปอร์หลายคนแต่งตัวเหมือนพวกแก๊งก์เตอร์ในยุคนั้น อย่างเช่น มีหมวกแบบ bowler, ใส่สูทเสื้อในสองชั้น, เสื้อเชิร์ตผ้าไหม, รองเท้าหนังจระเข้ และในบางแห่งในมิดเวสต์ รวมถึงดีทรอยต์ เป็นสไตล์สำคัญ สไตล์หนึ่งของฮิปฮอปที่นั่น
ในฝั่งอีสต์โคสต์ คำว่าแฟชั่น "ghetto fabulous" คิดคำโดย ฌอน โคมบส์ ก็ได้รับความนิยม มีผู้แต่งกายอย่าง โคมบส์ ,โนทอเรียส บีไอจี, เฟธ อีแวนส์ และรัซเซลล์ ซิมมอนส์
ฮิป-ป็อป
ในยุคของฮิป-ป็อป ยังมีการแบ่งแยกแฟชั่นระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง ที่แต่ก่อนดูคล้ายคลึงกัน แฟชั่นฮิปฮอปผู้หญิงจะเลียนแบบการแต่งกายของผู้ชาย อย่างเช่นใส่ยีนส์หลวม ๆ ,แว่นตากันแดด "Loc", รองเท้าบู้ตหนัก ๆ ศิลปินที่แต่งตัวอย่าง ดาแบร็ต ซึ่งเธอจะแต่งหน้าบ้าง ต่อมาอุตสาหกรรมแฟชั่นได้ผลิตกางเกงและบู้ตที่ดูเป็นผู้หญิงขึ้น ศิลปินหญิงที่เป็นผู้นำเช่น ลิล คิม และ ฟ็อกซี บราวน์ ที่มีรูปลักษณ์ตื่นเต้น ผจญภัย ส่วนแฟชั่นฮิปฮอปผู้หญิงที่ดูหรูหรา เช่น คิโมรา ลี ซิมมอนส์ เจ้าของไลน์เสื้อผ้า Baby Phat ขณะที่ลอรีน ฮิลล์ และ อีฟ ดูเป็นอนุรักษณ์นิยม แต่ยังคงนำความรู้สึกความเป็นผู้หญิงและฮิปฮอปเข้าด้วยกันแนวเพลงฮิป-ป็อป ได้รับความนิยมในช่วงปลายทศวรรษ 1990 จากผลงานแรกเริ่มของฌอน คอมบ์ส แถบนิวยอร์ก ในเวลานั้นแฟชั่นของเขา จะมีลักษณะเสื้อสีสดใส ชุดนักบินพีวีซีสีบาดตา และเครื่องประดับ เขานำแฟชั่นสู่วงการฮิปฮอป และนำทิศทางความเจิดจ้าของสี แสง รวมถึงในมิวสิกวิดีโอที่เขาร่วมสร้าง ฌอน คอมบ์สยังได้ออกไลน์เสื้อผ้า และยังใส่เสื้อผ้าอย่าง Karl Kani และ FUBU เขานำฮิปฮอปก้าวเข้าสู่กระแสหลัก ผลก็คือ กระแสแฟชั่นฮิปฮอปหลายล้านเหรียญดอลล่าร์ และการกลับมาของทรงผมแบบดั้งเดิมของชาวแอฟริกัน-อเมริกัน อย่าง คอร์นโรว์ และ แอฟโฟร์ รวมถึงทรงผม Caesar สำหรับผู้ที่ไว้ผมแบบคอร์นโรว์ และ Caesar จะรักษาผมโดยการใส่ ดู-แร็ก ขณะนอนหลับหรือกิจกรรมในบ้าน จนดู-แร็ก ก็กลายเป็นแฟชั่นฮิปฮอปอีกอย่างหนึ่ง
วัฒนธรรมเครื่องประดับ
การใช้แพล็ตตินัมได้รับความนิยมในที่สุด ไบรอัน วิลเลียม แร็ปเปอร์จากค่าย แคชมันนีเรคคอร์ด ประดับเพชรที่ฟันอย่างถาวร รวมถึงมีแฟชั่นติดเครื่องประดับลงที่ฟันที่สามารถถอดได้ จนมาถึงการมาถึงของแฟชั่นเครื่องประดับ ในการเปลี่ยนศตวรรษใหม่ เกิดแบรนด์หรูหราได้ก้าวสู่ตลาดแฟชั่นฮิปฮอป รวมไปถึงแบรนด์หรูหราอย่าง Gucci และ Louis Vuitton ที่มีแฟชั่นฮิปฮอปปรากฏในมิวสิกวิดีโอและภาพยนตร์ในช่วงกลางถึงปลายยุคทศวรรษ 1990 แพล็ตตินัมได้มาแทนที่ทองคำ สำหรับแฟชั่นฮิปฮอป ศิลปินและแฟนเพลงสวมใส่เครื่องประดับจากแพล็ตตินัม (หรือเงิน) และมักประดับไปด้วยเพชร เจย์-ซี ,จูวีไนล์ และ เดอะฮ็อตบอยส์ ตอบรับกระแสนี้อย่างมาก
สปอร์ตแวร์
ทอมมี ฮิลฟิเกอร์ เป็นหนึ่งในแบรนด์ด้านสปอร์ตแวร์ที่โดดเด่นในช่วงทศวรรษที่ 1990 ถึงแม้ว่า Polo, Calvin Klein, Nautica, และ DKNY ก็โด่งดังเช่นกัน สนู๊ปด็อกใส่เสื้อถักของทอมมี ฮิลฟิเกอร์ ออกรายการในแซทเทอร์เดย์ไนท์ไลฟ์ ผลคือในวันถัดมาร้านในนิวยอร์กก็ขายเสื้อแบบนี้หมดอย่างรวดเร็ว ทอมมี ฮิลฟิเกอร์มีตลาดแฟชั่นฮิปฮอปใหม่ คือนำแร็ปเปอร์ชื่อดังมาช่วยในการประชาสัมพันธ์บริษัท อย่างเช่น ดิดดี้ และ คูลิโอ ก็เคยเดินโชว์บนแคทวอล์คแล้ว
ส่วนแบรนด์อื่นอย่าง FUBU, Ecko Unlimited, Mecca USA, Lugz, Rocawear, Boss Jeans by IG Design, และ Enyce ก็ก้าวสู่วงการสตรีทแวร์มากขึ้น โดยพวกเขาตามทอมมี ฮิลฟิเกอร์ ด้วยการใส่โลโก้ขนาดใหญ่บนผลิตภัณฑ์ที่มีรูปแบบอเมริกัน
Throwback jerseys
Throwback jerseys
คือแฟชั่นกีฬาที่ใส่เสื้อนักกีฬาฮีโร่ในอดีต เช่น จอห์นนี ยูนิทาส, ดร. เจ, มิกกี แมนเทิล เป็นต้น หนึ่งในกระแสของสปอร์ตแวร์ที่เกิดขึ้นเช่นแบรนด์ Mitchell & Ness
Throwback jerseys ได้รับความนิยมสำหรับแฟชั่นฮิปฮอป อย่างเช่นในมิวสิกวิดีโอในช่วงแรก ๆ ของวิลล์ สมิธ ในช่วงต้นยุค 90 อย่างเพลง "Summertime" สไปค์ ลีก็เช่นกันใส่ชุดแบบ Los Angeles Dodgers ในภาพยนตร์เรื่อง Do the Right Thing แต่ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 1990 เนื่องจากความนิยมมากขึ้น จึงทำให้ราคาเครื่องแต่งการแพงมาก ราคามากกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ ศิลปินฮิปฮอปก็นิยมสวมใส่ชุดแบบนี้ในมิวสิกวิดีโอ ทำให้ความต้องการมากขึ้น จนมีการทำของปลอมเกิดขึ้น
ในช่วงกลางถึงปลายยุค 2000 ก็หันมาแต่เสื้อผ้าแบบนี้อย่างเช่น เจย์-ซี ที่ร้องเพลงแร็ปที่มีเนื้อว่า "And I don't wear jerseys, I'm 30-plus, Give me a crisp pair of jeans, Button up."
แฟชั่นฮิปฮอปสมัยใหม่
กระแสปัจจุบันในช่วงทศวรรษที่ 1990 และในยุคถัดไป ศิลปินฮิปฮอปหลายคนเริ่มมีแบรนด์ ไลน์แฟชั่นของตัวเอง อย่างเช่น วู-แทง แคลน (กับ วู-แวร์), รัซเซลล์ ซิมมอนส์ (กับ แฟต ฟาร์ม), คิโมรา ลี ซิมมอนส์ (กับ เบบี้ แฟต), ดิดดี้ (กับ ฌอน จอห์น) ,เดมอน แดช กับ เจย์-ซี (กับ Rocawear), 50 เซ็นต์ (กับ G-Unit Clothing) ,เอ็มมิเน็ม (กับ Shady Limited) ,ทูแพ็ก (กับ Makaveli) และ เอาท์แคสต์ (กับ OutKast Clothing) ส่วนบริษัทที่ผลิตสินค้าแฟชั่นฮิปฮอปเช่น Karl Kani and FUBU, Ecko, Dickies,Girbaud, Enyce, Famous Stars and Straps, Bape, LRG, Timberland Boots, และ Akademiks
เสื้อทีเชิร์ต ที่สั้นลงก็เป็นกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อจะได้โชว์เข็มขัดหรือหัวเข็มขัด หรือโซ่ แต่สไตล์การใส่เสื้อผ้าแบบหลวม ๆ ก็ยังคงความสำคัญอยู่ ศิลปินฮิปฮอปหัวก้าวหน้าก็ใส่ในสไตล์ เปร็ป-ฮ็อป และที่ดูล้ำหน้า อย่าง คอนเย เวสต์ ,คอมมอน ,วิลล์.ไอ.แอม และ อังเดร 3000 เช่นเดียวกับแฟชั่นที่ได้รับอิทธิพลจากนักสเกต ชุดฟิต ๆ อย่าง ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ และกระแสยุค 1980 ก็เกิดใหม่ อย่าง แบรนด์เสื้อผ้า Members Only, โซ่ใหญ่ ๆ และแว่นตากันแดดขนาดใหญ่เนื่องจากกระแสในปัจจุบันคือการ ย้อนไปยังยุค โอลด์สคูล เสื้อผ้า การแต่งกายก็ย้อนไปในยุคต้นทศวรรษที่ 1980 เครื่องแต่งกายสู่ความทันสมัย (หรือเรียกว่า เปร็ป-ฮ็อป) ที่อาจมีไอเท็มอย่าง เสื้อเชิร์ตโปโล เสื้อสปอร์ตโค้ต เสื้อเชิร์ตทอ หัวเข็มขัดใหญ่ ๆ คัฟฟ์ลิงก์ สิ่งประดับตกแต่งรูปกะโหลกหรือกระดูก ฮูดี้แบบซิป เสื้อเชิร์ตลายสก็อต แฟชั่นได้รับแรงบันดาลใจจากหิมะ ยีนส์ฟิต ๆ
Throwback jerseys ได้รับความนิยมสำหรับแฟชั่นฮิปฮอป อย่างเช่นในมิวสิกวิดีโอในช่วงแรก ๆ ของวิลล์ สมิธ ในช่วงต้นยุค 90 อย่างเพลง "Summertime" สไปค์ ลีก็เช่นกันใส่ชุดแบบ Los Angeles Dodgers ในภาพยนตร์เรื่อง Do the Right Thing แต่ในช่วงปลายยุคทศวรรษที่ 1990 เนื่องจากความนิยมมากขึ้น จึงทำให้ราคาเครื่องแต่งการแพงมาก ราคามากกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐ ศิลปินฮิปฮอปก็นิยมสวมใส่ชุดแบบนี้ในมิวสิกวิดีโอ ทำให้ความต้องการมากขึ้น จนมีการทำของปลอมเกิดขึ้น
ในช่วงกลางถึงปลายยุค 2000 ก็หันมาแต่เสื้อผ้าแบบนี้อย่างเช่น เจย์-ซี ที่ร้องเพลงแร็ปที่มีเนื้อว่า "And I don't wear jerseys, I'm 30-plus, Give me a crisp pair of jeans, Button up."
แฟชั่นฮิปฮอปสมัยใหม่
กระแสปัจจุบันในช่วงทศวรรษที่ 1990 และในยุคถัดไป ศิลปินฮิปฮอปหลายคนเริ่มมีแบรนด์ ไลน์แฟชั่นของตัวเอง อย่างเช่น วู-แทง แคลน (กับ วู-แวร์), รัซเซลล์ ซิมมอนส์ (กับ แฟต ฟาร์ม), คิโมรา ลี ซิมมอนส์ (กับ เบบี้ แฟต), ดิดดี้ (กับ ฌอน จอห์น) ,เดมอน แดช กับ เจย์-ซี (กับ Rocawear), 50 เซ็นต์ (กับ G-Unit Clothing) ,เอ็มมิเน็ม (กับ Shady Limited) ,ทูแพ็ก (กับ Makaveli) และ เอาท์แคสต์ (กับ OutKast Clothing) ส่วนบริษัทที่ผลิตสินค้าแฟชั่นฮิปฮอปเช่น Karl Kani and FUBU, Ecko, Dickies,Girbaud, Enyce, Famous Stars and Straps, Bape, LRG, Timberland Boots, และ Akademiks
เสื้อทีเชิร์ต ที่สั้นลงก็เป็นกระแสที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เพื่อจะได้โชว์เข็มขัดหรือหัวเข็มขัด หรือโซ่ แต่สไตล์การใส่เสื้อผ้าแบบหลวม ๆ ก็ยังคงความสำคัญอยู่ ศิลปินฮิปฮอปหัวก้าวหน้าก็ใส่ในสไตล์ เปร็ป-ฮ็อป และที่ดูล้ำหน้า อย่าง คอนเย เวสต์ ,คอมมอน ,วิลล์.ไอ.แอม และ อังเดร 3000 เช่นเดียวกับแฟชั่นที่ได้รับอิทธิพลจากนักสเกต ชุดฟิต ๆ อย่าง ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์ และกระแสยุค 1980 ก็เกิดใหม่ อย่าง แบรนด์เสื้อผ้า Members Only, โซ่ใหญ่ ๆ และแว่นตากันแดดขนาดใหญ่เนื่องจากกระแสในปัจจุบันคือการ ย้อนไปยังยุค โอลด์สคูล เสื้อผ้า การแต่งกายก็ย้อนไปในยุคต้นทศวรรษที่ 1980 เครื่องแต่งกายสู่ความทันสมัย (หรือเรียกว่า เปร็ป-ฮ็อป) ที่อาจมีไอเท็มอย่าง เสื้อเชิร์ตโปโล เสื้อสปอร์ตโค้ต เสื้อเชิร์ตทอ หัวเข็มขัดใหญ่ ๆ คัฟฟ์ลิงก์ สิ่งประดับตกแต่งรูปกะโหลกหรือกระดูก ฮูดี้แบบซิป เสื้อเชิร์ตลายสก็อต แฟชั่นได้รับแรงบันดาลใจจากหิมะ ยีนส์ฟิต ๆ
4 FACTORS OF HIP-HOP
4 FACTORS OF HIP-HOP
ในช่วงยุค 70' เมื่อวัยรุ่นในย่านละแวกใกล้เคียงต้องการจะจัดงานปาร์ตี้ รื่นเริง (block party) ดนตรีฮิปฮอปจึงได้รับการแพร่ขยายเป็นที่รู้จัก ซึ่งฮิปฮอปก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นแนวดนตรีชนิดหนึ่งอีกต่อไป แต่ยังได้รับการยกระดับให้เป็น วัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย โดย วัฒนธรรมฮิปฮอปจะเกิดขึ้นได้โดยต้องมีปัจจัย 4 อย่าง คือ
กราฟฟิตี (graffiti) เป็นการเพนท์ พ่น กำแพง ความหมายเพื่อการเชื้อเชิญ แขก หรือสาว ๆ ในละแวกนั้นว่า งานปาร์ตี้เริ่มที่ไหนเมื่อไหร่
ดีเจ (DJ) ซึ่งมาจากคำว่า disc jockey ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดแผ่นเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้
บี-บอย (B-Boy) - เป็นกลุ่มคนที่มาเต้นในช่วงระหว่างที่ดีเจกำลังเซ็ทแผ่นเพลง เพื่อเป็นการคั่นเวลา ซึ่งลักษณะการเต้น เราจะเรียกว่าเบรกแดนซ์(break dance)
เอ็มซี (MC) เป็นแร็ปเปอร์ซึ่งหลังจากที่ ดีเจ เซ็ทแผ่นเรียบร้อยแล้ว MC จะทำหน้าที่ดำเนินงาน และงานปาร์ตี้ก็ได้เริ่มขึ้น
ตอนต้นยุค 70s เริ่มจากดีเจในสมัยนั้นที่เป็นส่วนในการเล่นดนตรีแนวเบรก-บีท (break-beat) ซึ่งเป็นที่นิยมในการเต้นรำในสมัยนั้น DJ Kool Herc และ Grandmaster Flash ได้แยกการดีเจออกมาโดยเน้นเพื่อให้เป็นการเต้นรำได้ตลอดทั้งคืน เบรก-บีทนั้นก็พัฒนามาจากเพลงฟังก์ที่มีพวกเครื่องเล่นเพอร์คัชชันเล่นอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นการพัฒนาของดีเจ รวมถึงคัตติง (cutting) ด้วย
การแร็ปนั้น พวก MC ตอนแรกจะพูดเพื่อโปรโมทให้ดีเจในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ แต่เริ่มมีการพัฒนาโดยการใส่เนื้อร้องลงไป โดยเนื้อหาอาจจะเกี่ยวกับชีวิต เรื่องรอบตัว ยาเสพติด เซ็กส์ โดย Melle Mel มักถูกยกเครดิตว่าเป็น MC คนแรก
ปลายยุค 70s ดีเจหลายคนได้ออกแผ่น โดยมีการแร็ปลงจังหวะเพลง เพลงที่ดัง ๆ มีอย่าง "Supperrappin" ของ Grandmaster Flash & The Furious Five, "The Breaks" ของ Kurtis Blow และ "Rapper's Delight" ของ The Sugar Hill Gang เป็นต้น
จนกระทั่งในปี 1983 ฮิปฮิอปถูกย้ำให้ชัดเจนขึ้นเมื่อ Afrika Bambaataa and the Soulsonic Force ได้ออกแผ่นที่ชื่อว่า "Planet Rock" แทนที่จะเป็นการแร็ปในจังหวะดิสโก้ Bambaataa ได้ใช้เสียงอีเลคโทรนิกแบบใหม่ขึ้นมาแทน โดยเทคโนโลยีซินธิไซเซอร์สมัยนั้น จนกระทั่ง ฮิปฮอปเข้าสู่กระแสหลัก เป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 90s ซึ่งในปัจจุบันมีศิลปินแนวฮิปฮอปอยู่จำนวนมาก
ในช่วงยุค 70' เมื่อวัยรุ่นในย่านละแวกใกล้เคียงต้องการจะจัดงานปาร์ตี้ รื่นเริง (block party) ดนตรีฮิปฮอปจึงได้รับการแพร่ขยายเป็นที่รู้จัก ซึ่งฮิปฮอปก็ไม่ได้ถูกจำกัดแค่ว่าเป็นแนวดนตรีชนิดหนึ่งอีกต่อไป แต่ยังได้รับการยกระดับให้เป็น วัฒนธรรมอย่างหนึ่งด้วย โดย วัฒนธรรมฮิปฮอปจะเกิดขึ้นได้โดยต้องมีปัจจัย 4 อย่าง คือ
กราฟฟิตี (graffiti) เป็นการเพนท์ พ่น กำแพง ความหมายเพื่อการเชื้อเชิญ แขก หรือสาว ๆ ในละแวกนั้นว่า งานปาร์ตี้เริ่มที่ไหนเมื่อไหร่
ดีเจ (DJ) ซึ่งมาจากคำว่า disc jockey ทำหน้าที่เป็นผู้เปิดแผ่นเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในงานปาร์ตี้
บี-บอย (B-Boy) - เป็นกลุ่มคนที่มาเต้นในช่วงระหว่างที่ดีเจกำลังเซ็ทแผ่นเพลง เพื่อเป็นการคั่นเวลา ซึ่งลักษณะการเต้น เราจะเรียกว่าเบรกแดนซ์(break dance)
เอ็มซี (MC) เป็นแร็ปเปอร์ซึ่งหลังจากที่ ดีเจ เซ็ทแผ่นเรียบร้อยแล้ว MC จะทำหน้าที่ดำเนินงาน และงานปาร์ตี้ก็ได้เริ่มขึ้น
ตอนต้นยุค 70s เริ่มจากดีเจในสมัยนั้นที่เป็นส่วนในการเล่นดนตรีแนวเบรก-บีท (break-beat) ซึ่งเป็นที่นิยมในการเต้นรำในสมัยนั้น DJ Kool Herc และ Grandmaster Flash ได้แยกการดีเจออกมาโดยเน้นเพื่อให้เป็นการเต้นรำได้ตลอดทั้งคืน เบรก-บีทนั้นก็พัฒนามาจากเพลงฟังก์ที่มีพวกเครื่องเล่นเพอร์คัชชันเล่นอยู่ด้วย และนี่ก็เป็นการพัฒนาของดีเจ รวมถึงคัตติง (cutting) ด้วย
การแร็ปนั้น พวก MC ตอนแรกจะพูดเพื่อโปรโมทให้ดีเจในงานปาร์ตี้ต่าง ๆ แต่เริ่มมีการพัฒนาโดยการใส่เนื้อร้องลงไป โดยเนื้อหาอาจจะเกี่ยวกับชีวิต เรื่องรอบตัว ยาเสพติด เซ็กส์ โดย Melle Mel มักถูกยกเครดิตว่าเป็น MC คนแรก
ปลายยุค 70s ดีเจหลายคนได้ออกแผ่น โดยมีการแร็ปลงจังหวะเพลง เพลงที่ดัง ๆ มีอย่าง "Supperrappin" ของ Grandmaster Flash & The Furious Five, "The Breaks" ของ Kurtis Blow และ "Rapper's Delight" ของ The Sugar Hill Gang เป็นต้น
จนกระทั่งในปี 1983 ฮิปฮิอปถูกย้ำให้ชัดเจนขึ้นเมื่อ Afrika Bambaataa and the Soulsonic Force ได้ออกแผ่นที่ชื่อว่า "Planet Rock" แทนที่จะเป็นการแร็ปในจังหวะดิสโก้ Bambaataa ได้ใช้เสียงอีเลคโทรนิกแบบใหม่ขึ้นมาแทน โดยเทคโนโลยีซินธิไซเซอร์สมัยนั้น จนกระทั่ง ฮิปฮอปเข้าสู่กระแสหลัก เป็นที่นิยมอย่างมากในยุค 90s ซึ่งในปัจจุบันมีศิลปินแนวฮิปฮอปอยู่จำนวนมาก
MC
MC
ความหมาย
แร็ป (Rap) คือการพูดในลักษณะคำกลอนลงจังหวะเพลง โดยส่วนใหญ่จะใช้จังหวะเร็ว เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของวัฒนธรรมฮิปฮอป
แร็ปเป็นการร้องแบบที่เป็นจังหวะ การร้องคล้ายเสียงพูด และเนื้อหาของเพลงที่มีความหมายและมีความคล้องจองกัน รวมทั้งเน้นที่การกำกับจังหวะ โดยใช้จังหวะกลองอิเล็กทรอนิกส์ และเทคนิคการ Sampling งานเพลงอื่น ๆ
การแร็ปได้พัฒนาทั้งภายในและนอก ของดนตรีแนวฮิปฮอป Kool Herc ชาวจาไมก้าในนิวยอร์กได้เริ่มการพูดลงบนเพลงประเภทแด๊นซ์ฮอล ในทศวรรษที่ 70 จนในทศวรรษที่ 80 ความสำเร็จของวงรัน-ดีเอ็มซี ได้เปิดกว้างให้วงการเพลงแร็ป พอถึงปลายยุคทศวรรษที่ 90 ฮิปฮอปได้ก้าวเข้าสู่กระแสหลัก ในยุค 2000 ฮิปฮอปใต้ดินเริ่มจะมีการใช้จังหวะที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ท้วงทำนองในการพูด เนื้อคำกลอนที่ซับซ้อน และการเล่นคำอย่างสร้างสรรค์ เนื้อเพลงแร็ปมักถ่ายทอดชีวิตบนถนนที่เป็นที่มาของฮิบฮอป ผนวกกับอ้างอิงถึงวัฒนธรรมกระแสนิยม และคำสแลงฮิปฮอปต่าง ๆ
ศิลปินเพลงแร็ปชื่อดังของโลก ได้แก่ Desiigner A$AP Rocky Tyga
เพิ่มเติม
การเป็นพิธีกร หรือ Master of ceremony ที่เราเรียกกันแบบง่ายๆ ว่า M.C.นั้น เป็นอาชีพที่สำคัญ ในการดึงดูดความสนใจให้ผู้ชม หรือคนดูนั้น ติดตามในสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ ตั้งแต่ต้นไปจนจบรายการ ซึ่งพิธีกรที่ดีจะต้องทำให้ผู้ชมประทับใจในการดำเนินรายการของเขาให้ได้ ทั้งท่วงท่า วาจา กิริยาอาการต่างๆ ตลอดจนความสามารถในการทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของรายการและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นอย่างดี สำหรับในวงการพริตตี้นั้น การเป็น M.C.ถือว่าเป็นงานอีกแขนงหนึ่งที่พัฒนารุดหน้าพริตตี้ขึ้นไปอีก ถือว่าเป็นพัฒนาการอีกลำดับขั้นหนึ่งของพริตตี้ ซึ่งพริตตี้นั้นอาจจะมีหน้าที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมา ด้วยรูปร่างและบุคลิกลักษณะที่ดี บวกรวมกับความสามารถในการประชาสัมพันธ์สินค้าต่างๆ ให้มีความน่าสนใจ แต่การเป็น M.C.นั้นถือว่าเป็นการเรียกความสนใจของคนทั่วไป ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นตัวผู้พูดกันเลยทีเดียว เพราะเสียงของ M.C.ย่อมสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในระยะไกล เรียกว่าตามความสามารถที่ลำโพงจะถ่ายทอดสัญญาณเสียงไปถึงกันเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ M.C.จะต้องมีพลังเสียงที่น่าฟัง สามารถสะกดผู้ฟังให้สนใจในสิ่งที่พิธีกรนำเสนอได้และจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆ ประกอบอีกหลายด้านด้วยกัน มิใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเป็นกันได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียทีเดียว ขอเพียงแค่รู้จักฝึกฝนและปรับปรุงทักษะต่างๆ ของตนเองอยู่เสมอ การเป็น M.C.ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันเลย สำหรับใครหลายๆ คน ยิ่งถ้าหากคุณๆ ที่เป็นพริตตี้อยู่แล้ว โอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวมาอยู่ในตำแหน่งของ M.C.นั้นอยู่ใกล้นิดเดียว สิ่งที่ผู้ต้องการเป็น M.C.จำเป็นจะต้องเรียนรู้ก็คือ ทักษะต่างๆ ที่สามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ซึ่ง สิ่งที่สำคัญในการเป็น M.C. คือการมีน้ำเสียงที่หนักแน่น ชัดเจน และน่าฟัง ไม่ใช่พูดเบาหรือค่อยจนเกินไป หรือพูดติดๆ ขัดๆ ไม่ปะติดปะต่อก็จะทำให้คนดูเสียอรรถรส และจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ จึงต้องหมั่นฝึกฝนวิธีการพูด ทั้งการสะกด อักขระต่างๆ การออกเสียง ร ตัวควบกล้ำ ต้องชัดเจน น้ำเสียงต้องฟังง่ายและเป็นมิตรกับคนดู และยังต้องฝึกการพูดให้มีความเร็วที่เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ควรฝึกกลั้นลมหายใจเพราะเวลาพูดต่อกันหลายประโยคนานๆ จะได้ไม่เหนื่อย เวลาพูดควรทำจิตใจให้เบิกบาน เสียงจะได้มีความแจ่มใส และเวลาพูดควรจะมีรอยยิ้มอยู่ด้วยเสมอ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ของ M.C. เราจะไม่รู้สึกเกร็ง และคนฟังก็จะรู้สึกดีไปด้วยสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวางท่าทาง กิริยา บุคลิกลักษณะต่างๆ ต้องให้ดูมีความมั่นใจ การยืนต้องสง่างาม การเดินต้องมีมาด ภาพพจน์โดยรวมต้องดูดี และเป็นไปในทางเดียวกันกับเรื่องราวที่พูดถึง หรือนำเสนออยู่ ใช้ลีลาประกอบให้เหมาะสม ควรฝึกหน้ากระจกเพื่อดูว่าตัวเราเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ควรฝึกฝนจนติดเป็นนิสัย เพื่อให้เรามีบุคลิกที่ดี น่าสนใจอยู่เสมอ การใช้สายตา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องหมั่นฝึกให้มั่นคง เพราะเวลาพูดก็เหมือนเราต้องสื่อสารกับคนดู และผู้ที่ร่วมรายการกับเรา ต้องมีสมาธิ แยกแยะให้ถูก เวลาพูดกับคนดูควรส่งสายตาไปยังผู้ชม ณ จุดใดจุดหนึ่ง อย่ากวาดสายตาไปมา แต่ควรใช้วิธีหันหน้าแทนเพื่อเปลี่ยนมุมมอง ไม่ควรทำตาหลุกหลิก หรือมองสิ่งอื่นที่ทำให้เราไขว้เขว สบตากับผู้ชมเป็นระยะระยะ และประสานสายตากับทีมงานบ้างเพื่อความเรียบร้อยของกำหนดการต่างๆ ว่าเป็นไปตามที่วางไว้หรือไม่ หรือหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดกะทันหัน เราจะได้เตรียมตัวได้ทัน หากมีกล้องบันทึกภาพ พิธีกรควรมองกล้องเป็นระยะ ฝึกสบตากับกล้องเพื่อจะได้ดูเหมือนสื่อสารกับผู้ชมเทปบันทึกภาพนั้นด้วย บางคนมองที่ไฟแดงๆ บนตัวกล้องทำให้ตาเหลือบขึ้นไป ดูไม่สวยงามยิ่งนัก
การเป็นพิธีกรที่ดี ที่สามารถดำเนินรายการได้น่าสนใจนั้น ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ศึกษากลุ่มผู้ชม ความสนใจต่างๆ สร้างบรรยากาศที่ดีในการดำเนินรายการ สื่อสารกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และให้เกียรติผู้ชมเสมอ เทคนิคที่สำคัญก็คือ การทำตัวให้กลมกลืนกับผู้ชม เช่น เมื่อเราจัดงานเกี่ยวกับวัยรุ่น ต้องวางบุคลิกท่าทางให้มีความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว การแต่งกายต้องดูทันสมัย ยิ้มแย้มแจ่มใส หากกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งกายให้ดูดี ชวนมอง เน้นความสะอาด สวยงาม เป็นต้น พิธีกรที่ทำงานสำเร็จนั้นต้องทำให้การดำเนินรายการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเสมอ ทั้งนี้คือการสามารถสื่อสารข้อมูลของทั้งผู้จัดงานและผู้ชมหรือผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดงานนั้นๆ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ รวมถึงสามารถทำให้ผู้ชมติดตามชมไปตลอดจนจบรายการ M.C. ที่ทำเช่นนี้ได้จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ดังนั้นพิธิกรที่ดีจึงควรมีปฏิภาณไหวพริบต่างๆ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ และตรึงคนดูไว้ให้จดจ่ออยู่กับการนำเสนอรายการของเราให้ได้ ไม่ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร พิธีกรที่ดีจะรู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร สามารถก่อให้เกิดความประนีประนอมได้หากเกิดเหตุการณ์พิพาทหรือถกเถียงกันขึ้นเขาก็จะต้องสามารถจัดการกับเรื่อง ต่างๆเหล่านี้ได้นอกจากนี้การจะเป็น M.C.ที่มีความสามารถนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาเทคนิคและวิธีการต่างๆ และฝึกฝน รวมถึงปรับให้เข้ากับบุคลิกของตนเอง เพื่อความน่าสนใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม
ความหมาย
แร็ป (Rap) คือการพูดในลักษณะคำกลอนลงจังหวะเพลง โดยส่วนใหญ่จะใช้จังหวะเร็ว เป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบของวัฒนธรรมฮิปฮอป
แร็ปเป็นการร้องแบบที่เป็นจังหวะ การร้องคล้ายเสียงพูด และเนื้อหาของเพลงที่มีความหมายและมีความคล้องจองกัน รวมทั้งเน้นที่การกำกับจังหวะ โดยใช้จังหวะกลองอิเล็กทรอนิกส์ และเทคนิคการ Sampling งานเพลงอื่น ๆ
ประวัติ
ศิลปินเพลงแร็ปชื่อดังของโลก ได้แก่ Desiigner A$AP Rocky Tyga
MC หรือ พิธีกร
การเป็นพิธีกร หรือ Master of ceremony ที่เราเรียกกันแบบง่ายๆ ว่า M.C.นั้น เป็นอาชีพที่สำคัญ ในการดึงดูดความสนใจให้ผู้ชม หรือคนดูนั้น ติดตามในสิ่งที่เขาต้องการนำเสนอ ตั้งแต่ต้นไปจนจบรายการ ซึ่งพิธีกรที่ดีจะต้องทำให้ผู้ชมประทับใจในการดำเนินรายการของเขาให้ได้ ทั้งท่วงท่า วาจา กิริยาอาการต่างๆ ตลอดจนความสามารถในการทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของรายการและให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมต่างๆ เป็นอย่างดี สำหรับในวงการพริตตี้นั้น การเป็น M.C.ถือว่าเป็นงานอีกแขนงหนึ่งที่พัฒนารุดหน้าพริตตี้ขึ้นไปอีก ถือว่าเป็นพัฒนาการอีกลำดับขั้นหนึ่งของพริตตี้ ซึ่งพริตตี้นั้นอาจจะมีหน้าที่ช่วยดึงดูดความสนใจของผู้คนที่ผ่านไปมา ด้วยรูปร่างและบุคลิกลักษณะที่ดี บวกรวมกับความสามารถในการประชาสัมพันธ์สินค้าต่างๆ ให้มีความน่าสนใจ แต่การเป็น M.C.นั้นถือว่าเป็นการเรียกความสนใจของคนทั่วไป ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เห็นตัวผู้พูดกันเลยทีเดียว เพราะเสียงของ M.C.ย่อมสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้ในระยะไกล เรียกว่าตามความสามารถที่ลำโพงจะถ่ายทอดสัญญาณเสียงไปถึงกันเลยทีเดียว เมื่อเป็นเช่นนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ M.C.จะต้องมีพลังเสียงที่น่าฟัง สามารถสะกดผู้ฟังให้สนใจในสิ่งที่พิธีกรนำเสนอได้และจำเป็นต้องมีทักษะอื่นๆ ประกอบอีกหลายด้านด้วยกัน มิใช่ว่าใครๆ ก็สามารถเป็นกันได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียทีเดียว ขอเพียงแค่รู้จักฝึกฝนและปรับปรุงทักษะต่างๆ ของตนเองอยู่เสมอ การเป็น M.C.ก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลเกินฝันเลย สำหรับใครหลายๆ คน ยิ่งถ้าหากคุณๆ ที่เป็นพริตตี้อยู่แล้ว โอกาสที่จะพัฒนาตนเองให้ก้าวมาอยู่ในตำแหน่งของ M.C.นั้นอยู่ใกล้นิดเดียว สิ่งที่ผู้ต้องการเป็น M.C.จำเป็นจะต้องเรียนรู้ก็คือ ทักษะต่างๆ ที่สามารถฝึกฝนได้ด้วยตนเอง ซึ่ง สิ่งที่สำคัญในการเป็น M.C. คือการมีน้ำเสียงที่หนักแน่น ชัดเจน และน่าฟัง ไม่ใช่พูดเบาหรือค่อยจนเกินไป หรือพูดติดๆ ขัดๆ ไม่ปะติดปะต่อก็จะทำให้คนดูเสียอรรถรส และจะเบื่อเอาได้ง่ายๆ จึงต้องหมั่นฝึกฝนวิธีการพูด ทั้งการสะกด อักขระต่างๆ การออกเสียง ร ตัวควบกล้ำ ต้องชัดเจน น้ำเสียงต้องฟังง่ายและเป็นมิตรกับคนดู และยังต้องฝึกการพูดให้มีความเร็วที่เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ควรฝึกกลั้นลมหายใจเพราะเวลาพูดต่อกันหลายประโยคนานๆ จะได้ไม่เหนื่อย เวลาพูดควรทำจิตใจให้เบิกบาน เสียงจะได้มีความแจ่มใส และเวลาพูดควรจะมีรอยยิ้มอยู่ด้วยเสมอ
สิ่งเหล่านี้จะเป็นเสน่ห์ของ M.C. เราจะไม่รู้สึกเกร็ง และคนฟังก็จะรู้สึกดีไปด้วยสิ่งที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งก็คือ การวางท่าทาง กิริยา บุคลิกลักษณะต่างๆ ต้องให้ดูมีความมั่นใจ การยืนต้องสง่างาม การเดินต้องมีมาด ภาพพจน์โดยรวมต้องดูดี และเป็นไปในทางเดียวกันกับเรื่องราวที่พูดถึง หรือนำเสนออยู่ ใช้ลีลาประกอบให้เหมาะสม ควรฝึกหน้ากระจกเพื่อดูว่าตัวเราเป็นอย่างไร สิ่งเหล่านี้ควรฝึกฝนจนติดเป็นนิสัย เพื่อให้เรามีบุคลิกที่ดี น่าสนใจอยู่เสมอ การใช้สายตา เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ต้องหมั่นฝึกให้มั่นคง เพราะเวลาพูดก็เหมือนเราต้องสื่อสารกับคนดู และผู้ที่ร่วมรายการกับเรา ต้องมีสมาธิ แยกแยะให้ถูก เวลาพูดกับคนดูควรส่งสายตาไปยังผู้ชม ณ จุดใดจุดหนึ่ง อย่ากวาดสายตาไปมา แต่ควรใช้วิธีหันหน้าแทนเพื่อเปลี่ยนมุมมอง ไม่ควรทำตาหลุกหลิก หรือมองสิ่งอื่นที่ทำให้เราไขว้เขว สบตากับผู้ชมเป็นระยะระยะ และประสานสายตากับทีมงานบ้างเพื่อความเรียบร้อยของกำหนดการต่างๆ ว่าเป็นไปตามที่วางไว้หรือไม่ หรือหากต้องมีการเปลี่ยนแปลงสิ่งใดกะทันหัน เราจะได้เตรียมตัวได้ทัน หากมีกล้องบันทึกภาพ พิธีกรควรมองกล้องเป็นระยะ ฝึกสบตากับกล้องเพื่อจะได้ดูเหมือนสื่อสารกับผู้ชมเทปบันทึกภาพนั้นด้วย บางคนมองที่ไฟแดงๆ บนตัวกล้องทำให้ตาเหลือบขึ้นไป ดูไม่สวยงามยิ่งนัก
การเป็นพิธีกรที่ดี ที่สามารถดำเนินรายการได้น่าสนใจนั้น ต้องรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ศึกษากลุ่มผู้ชม ความสนใจต่างๆ สร้างบรรยากาศที่ดีในการดำเนินรายการ สื่อสารกับผู้ชมได้เป็นอย่างดี สร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และให้เกียรติผู้ชมเสมอ เทคนิคที่สำคัญก็คือ การทำตัวให้กลมกลืนกับผู้ชม เช่น เมื่อเราจัดงานเกี่ยวกับวัยรุ่น ต้องวางบุคลิกท่าทางให้มีความกระฉับกระเฉง คล่องแคล่ว การแต่งกายต้องดูทันสมัย ยิ้มแย้มแจ่มใส หากกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้หญิงก็ต้องแต่งกายให้ดูดี ชวนมอง เน้นความสะอาด สวยงาม เป็นต้น พิธีกรที่ทำงานสำเร็จนั้นต้องทำให้การดำเนินรายการสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดีเสมอ ทั้งนี้คือการสามารถสื่อสารข้อมูลของทั้งผู้จัดงานและผู้ชมหรือผู้เข้าร่วมกิจกรรมให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกัน บรรลุวัตถุประสงค์ในการจัดงานนั้นๆ และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชมได้ รวมถึงสามารถทำให้ผู้ชมติดตามชมไปตลอดจนจบรายการ M.C. ที่ทำเช่นนี้ได้จึงจะถือว่าประสบความสำเร็จ และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ทักษะในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้อยู่เสมอ ดังนั้นพิธิกรที่ดีจึงควรมีปฏิภาณไหวพริบต่างๆ ในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ได้ และตรึงคนดูไว้ให้จดจ่ออยู่กับการนำเสนอรายการของเราให้ได้ ไม่ว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร พิธีกรที่ดีจะรู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร สามารถก่อให้เกิดความประนีประนอมได้หากเกิดเหตุการณ์พิพาทหรือถกเถียงกันขึ้นเขาก็จะต้องสามารถจัดการกับเรื่อง ต่างๆเหล่านี้ได้นอกจากนี้การจะเป็น M.C.ที่มีความสามารถนั้น จำเป็นจะต้องศึกษาเทคนิคและวิธีการต่างๆ และฝึกฝน รวมถึงปรับให้เข้ากับบุคลิกของตนเอง เพื่อความน่าสนใจและสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม
B-BOY
B-BOY
ความหมาย
เบรกกิ้ง (Breaking) หรือ บี-บอยอิ่ง (b-boying) โดยทั่วไปจะเรียกกันในชื่อ Breakdance (เบรกแดนซ์) เป็นรูปแบบการเต้นที่พัฒนา ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป ในกลุ่มวัยรุ่นคนดำและละตินอเมริกา ในเซาท์บรองซ์ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า บี-บอย มาจากคำว่า เบรกบอย (break boy) ด้วยเหตุผลที่พวกเขาจะเป็นพวกเต้นโดยเฉพาะ. โดยจะเต้นทั้งในแนวเพลงฮิปฮอป, ฟังค์ และ แนวเพลงอื่น ๆ ด้วยที่มักเป็นดนตรีรีมิกซ์ ที่คั่นระหว่างเพลงพัก
เบรกกิ้ง (Breaking) หรือ บี-บอยอิ่ง (b-boying) โดยทั่วไปจะเรียกกันในชื่อ Breakdance (เบรกแดนซ์) เป็นรูปแบบการเต้นที่พัฒนา ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป ในกลุ่มวัยรุ่นคนดำและละตินอเมริกา ในเซาท์บรองซ์ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า บี-บอย มาจากคำว่า เบรกบอย (break boy) ด้วยเหตุผลที่พวกเขาจะเป็นพวกเต้นโดยเฉพาะ โดยจะเต้นทั้งในแนวเพลงฮิปฮอป, ฟังค์ และ แนวเพลงอื่น ๆ ด้วยที่มักเป็นดนตรีรีมิกซ์ ที่คั่นระหว่างเพลงพัก
4 องค์ประกอบเบื้องต้นมาจากรากฐานในการเต้น เบรกกิ้ง (Breaking) องค์ประกอบแรกคือ
องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (Freeze) เป็นท่าจบ โดยจะ จะหยุดโพสท่าต่างๆ เมื่อต้องการที่จะทำการจบการเต้น หรือ ต้องการหยุดตามจังหวะเพลง อาจจะเป็นท่าโพสท่าแบบธรรมดา หรือ เป็นท่าที่ผาดโผนก็ได้ เช่น โพสแบบกลับหัว
คำว่า เบรกแดนซ์ซิ่ง (breakdancing) จะยังไม่เป็นที่ยอมรับในวัฒนธรรมฮิปฮอป เพราะเป็นคำที่แต่งขึ้นมาโดยสื่อมวลชนเพื่ออธิบาย การเบรกกิง หรือ บี-บอย บนถนน ผู้บุกเบิกรูปแบบศิลปะส่วนใหญ่และผู้ฝึกที่โด่งดัง เรียกท่าเต้นดังกล่าว ว่า บี-บอยอิง (b-boying)
ความหมาย
เบรกกิ้ง (Breaking) หรือ บี-บอยอิ่ง (b-boying) โดยทั่วไปจะเรียกกันในชื่อ Breakdance (เบรกแดนซ์) เป็นรูปแบบการเต้นที่พัฒนา ในส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมฮิปฮอป ในกลุ่มวัยรุ่นคนดำและละตินอเมริกา ในเซาท์บรองซ์ในระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1970 คำว่า บี-บอย มาจากคำว่า เบรกบอย (break boy) ด้วยเหตุผลที่พวกเขาจะเป็นพวกเต้นโดยเฉพาะ. โดยจะเต้นทั้งในแนวเพลงฮิปฮอป, ฟังค์ และ แนวเพลงอื่น ๆ ด้วยที่มักเป็นดนตรีรีมิกซ์ ที่คั่นระหว่างเพลงพัก
ประวัติ
องค์ประกอบของ B-BOY
องค์ประกอบที่ 1 ท๊อปร็อก (TopRock) คำศัพท์ที่ว่านี้จะหมายถึง เป็นการเต้นที่ มีรูปแบบเป็นลักษณะยืนเต้นซึ่งแปลตรงตัวเลยตามคำคือ Top แปลว่าด้านบน Rock คือการเขย่าหรือโยก นั่นเอง
องค์ประกอบที่ 2 ดาวน์ร็อก (Downrock) แปลตรงตัวอีกเช่นกัน คือ Down แปลว่า ด้านล่าง Rock แปลว่าเขย่าหรือโยก แปลรวมกันคือ การเต้นแบบด้านล่าง ซึ่งจะเรียกกันอีกอย่างว่า ฟุตเวิร์ก (Footwork) เป็นการเต้นลงบนพื้น
องค์ประกอบที่ 3 คือ ฟรีซ (Freeze) เป็นท่าจบ โดยจะ จะหยุดโพสท่าต่างๆ เมื่อต้องการที่จะทำการจบการเต้น หรือ ต้องการหยุดตามจังหวะเพลง อาจจะเป็นท่าโพสท่าแบบธรรมดา หรือ เป็นท่าที่ผาดโผนก็ได้ เช่น โพสแบบกลับหัว
องค์ประกอบที่ 4 คือ พาวเวอร์มูฟ (Powermove) เป็นท่าที่ใช้พลังของ ร่างกายและแรงเหวี่ยง โดยส่วนใหญ่จะเป็นการเล่นท่าที่ผาดโผนโดยเป็นส่วนของในการเคลื่อนไหว ในการทำท่าหมุนบนพื้นหรือบนอากาศ
DJ
DJ
ความหมาย
ดีเจ (อังกฤษ: DJ ย่อมาจาก Disc jockey) หมายถึงผู้จัดรายการเพลงประกอบความรู้เกี่ยวกับเพลงหรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง ในสถานที่ฟังเพลง ในที่นี้มี 2 ความหมายคือ ดีเจที่จัดรายการเพื่อออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และดีเจที่เปิดเพลงตามไนต์คลับหรือตามงานบันเทิงต่าง ๆ โดยในขณะทำหน้าที่ดีเจ อาจมีการเล่นแผ่นหรือปรับเสียงในลักษณะต่าง ๆ เพื่อดัดแปลงให้ได้เสียงที่แปลกใหม่ไปจากเดิม
ดีเจที่มีความหมายถึงนักจัดรายการวิทยุ รูปแบบการจัดรายการอาจเป็นรายการที่มีกำหนดเวลาแน่นอน หรือเป็นรายการที่ให้บริการตลอดวัน เช่น รายการกรีนเวฟ หรือรายการอยู่เป็นเพื่อนคุยกับนักศึกษาที่ดูหนังสือดึกๆ หรือรายการโชว์ดึก โดยมีหัวข้อคุยเป็นประเด็นเรื่องราวตามกระแสเหตุการณ์บ้านเมืองและโลกแทรกไว้ในรายการ หรือรายการเพื่อสุขภาพ รายการเพื่อผู้บริโภค รายการเพื่อการศึกษา การทบทวนข้อสอบของนักเรียนเพื่อเตรียม สอบเอ็นทรานซ์ การตอบปัญหาสุขภาพจิตสำหรับผู้ฟังที่มีปัญหาคับข้องใจ หรืออาจเป็นรายการสายด่วน เพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อน โดยนักจัดรายการวิทยุจะเปิดเพลง สลับการให้ความรู้หรือการตอบปัญหา หรือสนทนากับผู้ฟังตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความเบื่อหน่ายแก่ผู้ฟังทั่วไป
ความหมาย
ดีเจ (อังกฤษ: DJ ย่อมาจาก Disc jockey) หมายถึงผู้จัดรายการเพลงประกอบความรู้เกี่ยวกับเพลงหรือเรื่องอื่นๆ ซึ่งอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง ในสถานที่ฟังเพลง ในที่นี้มี 2 ความหมายคือ ดีเจที่จัดรายการเพื่อออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียง และดีเจที่เปิดเพลงตามไนต์คลับหรือตามงานบันเทิงต่าง ๆ โดยในขณะทำหน้าที่ดีเจ อาจมีการเล่นแผ่นหรือปรับเสียงในลักษณะต่าง ๆ เพื่อดัดแปลงให้ได้เสียงที่แปลกใหม่ไปจากเดิม
ดีเจที่มีความหมายถึงนักจัดรายการวิทยุ รูปแบบการจัดรายการอาจเป็นรายการที่มีกำหนดเวลาแน่นอน หรือเป็นรายการที่ให้บริการตลอดวัน เช่น รายการกรีนเวฟ หรือรายการอยู่เป็นเพื่อนคุยกับนักศึกษาที่ดูหนังสือดึกๆ หรือรายการโชว์ดึก โดยมีหัวข้อคุยเป็นประเด็นเรื่องราวตามกระแสเหตุการณ์บ้านเมืองและโลกแทรกไว้ในรายการ หรือรายการเพื่อสุขภาพ รายการเพื่อผู้บริโภค รายการเพื่อการศึกษา การทบทวนข้อสอบของนักเรียนเพื่อเตรียม สอบเอ็นทรานซ์ การตอบปัญหาสุขภาพจิตสำหรับผู้ฟังที่มีปัญหาคับข้องใจ หรืออาจเป็นรายการสายด่วน เพื่อช่วยเหลือความเดือดร้อน โดยนักจัดรายการวิทยุจะเปิดเพลง สลับการให้ความรู้หรือการตอบปัญหา หรือสนทนากับผู้ฟังตามช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อมิให้เกิดความเบื่อหน่ายแก่ผู้ฟังทั่วไป
GRAFFITI
GRAFFITIz
ความหมาย
จากหนังสือ Freight Train Graffitti ให้คำนิยามรอยขูดขีดเขียนว่า “รอยขูดขีดเขียนถือเป็นวัฒนธรรมนอกกระแสที่เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความเป็น ขบถ ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซ่าน เป็นสุข เมื่อยามที่ศิลปินรอยขูดขีดเขียนได้ท้าทายต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามกีดกันกำจัดรอยขูดขีดเขียนให้หมดไป”
ขณะที่ นิโคลัส แกนซ์ ผู้เขียน Graffiti World อธิบายไว้ว่า คำว่า graffitti ที่มาจาก graffitto ในภาษาอิตาลี ที่แปลว่า รอยจารึก หรือรอยขีดข่วน อาจกล่าวได้ว่ารอยขูดขีดเขียนถือกำเนิดขึ้นบนโลกมานานแล้ว พร้อมๆ กับกำเนิดของอารยธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษร ฮีโรกลิฟฟิก ภาพเขียนสีตามผนังถ้ำ ก็อาจถือว่าเป็นรอยขูดขีดเขียนได้เช่นกัน
ในช่วยปลายทศวรรษที่ 60 รอยขูดขีดเขียนเดินทางเข้าสู่นิวยอร์ก โดย JULIO204 ไรเตอร์จากสลัมย่านบรองซ์นำเข้าไปเผยแพร่ ต่อมาในปีค.ศ. 1969 ที่นิวยอร์ก “ทากิ” ไรเตอร์ชื่อดังที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นยุคสมัยของเหล่าไรเตอร์หรือนักเขียนรอยขูดขีดเขียนโดยแท้จริง เมื่อคำว่า TAKI 183 ของเขา ได้รับการสัมภาษณ์และเปิดเผย ตีพิมพ์ภาพลายเซ็นของเขาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส คำว่า TAKI 183 ที่เขาเขียนปรากฏให้เห็นทั้งในรถไฟใต้ดินและสถานที่สำคัญอย่างบรอดเวย์ สนามบินเคนเนดี รวมทั้งที่ต่าง ๆ ทั้งในนิวเจอร์ซีย์คอนเนตทิคัต และสถานที่อื่น ๆ ทั่วนิวยอร์ก
หลังจากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้วางแผง วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยต่างประทับใจในชื่อเสียงของทากิ พวกเขาจึงเริ่มเขียนชื่อของตัวเองตามสถานที่สาธารณะ จนค่อย ๆ ได้รับความนิยมและคึกคักในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นทศวรรษที่ 70 รอยขูดขีดเขียนได้ถูกเขียนเต็มไปหมดจากไรเตอร์อย่าง TRACY168 StayHigh149 และ PHASE2 เริ่มเขียน “tag” (แท็ก) หรือลายเซ็นของตนตามโบกี้รถไฟ
ในปี ค.ศ. 1972 TOPCAT ได้นำเทคนิคใหม่ เข้าสู่นิวยอร์ก คือตัวอักษรยาว ๆ เก้งก้างเต็มพื้นที่คอนเทนเนอร์รถไฟ ต่อมารูปแบบนี้ได้รับความนิยมจากเหล่าไรเตอร์นิวยอร์ก และเรียกว่าเป็น “Broadway Elegant” ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวอักษรที่เขียนต่อก่อเป็นแถวยาว ๆ
ปี ค.ศ. 1973 รอยขูดขีดเขียนปรากฏอยู่แทบทุกซอกมุมตึกในนิวยอร์ก ดังที่ ริชาร์ด โกด์สไตน์ เขียนลงนิวยอร์กแม็กกาซีนไว้ว่า “ดูเหมือนเหล่าวัยรุ่นหนุ่ม ๆ แทบจะไม่สนใจอะไรเลย นอกจากมองหาทำเลที่พวกเขาจะพ่นรอยขูดขีดเขียน” โกลด์สไตน์เองได้จัดให้มีการประกวดรางวัล “ทากิอวอร์ด” ขึ้นเพื่อคัดเลือกรอยขูดขีดเขียนที่เขาคิดว่าดีที่สุดในขณะนั้น โกลด์สไตน์กล่าวอีกว่า กระแสความคลั่งไคล้รอยขูดขีดเขียนในขณะนั้น ไม่ต่างจากความบ้าคลั่งที่พวกเขามีต่อดนตรียุคร็อกแอนด์โรลในยุคทศวรรษที่ 50 เลย
รอยขูดขีดเขียนได้รับความนิยมขึ้นอีก เมื่อไรเตอร์จากประเทศต่าง ๆ หรือแต่ละท้องถิ่นนำผลงานของตนไปเผยแพร่ตามที่ต่างๆ จากทั่วสหรัฐอเมริกาถูกส่งต่อไปหลายประเทศในยุโรปนอกจากนั้นยังมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับรอยขูดขีดเขียนขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ แอลเอ นิวยอร์ก หรือย่านมิดเวสต์ โดยงานแรก ๆ ที่ถูกบันทึกไว้คืองาน Frame Exhibition ที่แอลเอราวปี ค.ศ. 1988และในปี ค.ศ. 1993-1996 Chicago Transit Authority (CTA) รับเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดการแข่งขันรอยขูดขีดเขียน โดยผู้ชนะเลิศจะได้ทุนการศึกษาและได้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนศิลปะ นับเป็นตัวอย่างแรก ๆ ของการนำรอยขูดขีดเขียนเข้าสู่ “พื้นที่จัดวาง” อย่างเป็นระบบ
กระแสรอยขูดขีดเขียนในระดับสากลได้เกิดขึ้นเมื่อเว็บไซต์รอยขูดขีดเขียน ที่ชื่อ Art Crimes ในโลกออนไลนด์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กันยายน ปี ค.ศ. 1994 โดยในปี 1999 อาร์ตไครมส์อ้างว่าเว็บไซต์็ของเขามีภาพรอยขูดขีดเขียนมากกว่า 3,000 ภาพจาก 205 เมือง ใน 43 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการเกิดของอาร์ตไครมส์ได้เกิดไรเตอร์หน้าใหม่และนิตยสารเกี่ยวกับรอยขูดขีดเขียนแพร่หลายขึ้น
ทุกวันนี้รอยขูดขีดเขียนพัฒนากลายเป็นแฟชั่นที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ทั้งลวดลายแท็กที่พบตามเสื้อผ้าแนวสตรีตอาร์ตไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ ไปจนถึงมิวสิกวิดีโอโดยศิลปินฮิปฮอปในเอ็มทีวีซึ่งมักมีภาพรอยขูดขีดเขียนปรากฏเป็นแบ็กกราวด์
ประเภทของกราฟฟิตี้
ความหมาย
จากหนังสือ Freight Train Graffitti ให้คำนิยามรอยขูดขีดเขียนว่า “รอยขูดขีดเขียนถือเป็นวัฒนธรรมนอกกระแสที่เปรียบได้กับสัญลักษณ์ของความเป็น ขบถ ราวกับว่ามันก่อให้เกิดความรู้สึกซาบซ่าน เป็นสุข เมื่อยามที่ศิลปินรอยขูดขีดเขียนได้ท้าทายต่ออำนาจของเจ้าหน้าที่รัฐที่พยายามกีดกันกำจัดรอยขูดขีดเขียนให้หมดไป”
ขณะที่ นิโคลัส แกนซ์ ผู้เขียน Graffiti World อธิบายไว้ว่า คำว่า graffitti ที่มาจาก graffitto ในภาษาอิตาลี ที่แปลว่า รอยจารึก หรือรอยขีดข่วน อาจกล่าวได้ว่ารอยขูดขีดเขียนถือกำเนิดขึ้นบนโลกมานานแล้ว พร้อมๆ กับกำเนิดของอารยธรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอักษร ฮีโรกลิฟฟิก ภาพเขียนสีตามผนังถ้ำ ก็อาจถือว่าเป็นรอยขูดขีดเขียนได้เช่นกัน
ประวัติ
จากตำรารอยขูดขีดเขียนไม่น้อยระบุไว้ตรงกันว่า รอยขูดขีดเขียนเริ่มต้นขึ้นในเมืองฟิลาเดลเฟียในช่วงทศวรรษที่ 60 ก่อนจะแพร่เข้ามายังนิวยอร์กในทศวรรษต่อมา สาเหตุการเกิดของรอยขูดขีดเขียนนั้น ในยุคสมัยที่การเหยีดสีผิวเป็นไปอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1954 ที่ผู้ปกครองนักเรียนผิวสีรวมตัวเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่คณะกรรมการโรงเรียนแห่งรัฐแคนซัสปฏิเสธที่จะรับเด้กผิวสีเข้าศึกษา และในปีถัดมา สตรีผิวสีนาม โรซา พาร์กส ที่เธอถูกตัดสินมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายที่จะสละที่นั่งของเธอให้บุรุษผิวขาวตามที่กฎหมายของรัฐกำหนด เป็นที่มาของการเคลื่อนไหวให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายว่าด้วยสิทธิพลเมือง จนกระทั่งเกิดกฎหมายนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1964 แต่ว่าคนผิวสีก็ยังตกอยู่ในสภาพคนชายขอบของสังคม ได้เป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสร้างสรรค์งานศิลปะ ทั้งเพลงบลูแจ็ซและเร้กเก้ และอีกด้านหนึ่งของคนผิวสีที่ต้องเผชิญ พวกเขาได้แสดงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ดิบหยาบ ประกาศให้เห็นถึงความ ขบถ ดังเช่น ดนตรีแร็ปที่เต็มไปด้วยคำด่าทอสังคมอย่างไม่เกรงกลัว รอยขูดขีดเขียนถือกำเนิดมาในยุคสมัยนี้
จากตำรารอยขูดขีดเขียนไม่น้อยระบุไว้ตรงกันว่า รอยขูดขีดเขียนเริ่มต้นขึ้นในเมืองฟิลาเดลเฟียในช่วงทศวรรษที่ 60 ก่อนจะแพร่เข้ามายังนิวยอร์กในทศวรรษต่อมา สาเหตุการเกิดของรอยขูดขีดเขียนนั้น ในยุคสมัยที่การเหยีดสีผิวเป็นไปอย่างเข้มข้น ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ในปี ค.ศ. 1954 ที่ผู้ปกครองนักเรียนผิวสีรวมตัวเรียกร้องขอความเป็นธรรม กรณีที่คณะกรรมการโรงเรียนแห่งรัฐแคนซัสปฏิเสธที่จะรับเด้กผิวสีเข้าศึกษา และในปีถัดมา สตรีผิวสีนาม โรซา พาร์กส ที่เธอถูกตัดสินมีความผิดฐานละเมิดกฎหมายที่จะสละที่นั่งของเธอให้บุรุษผิวขาวตามที่กฎหมายของรัฐกำหนด เป็นที่มาของการเคลื่อนไหวให้เกิดการปฏิรูปกฎหมายว่าด้วยสิทธิพลเมือง จนกระทั่งเกิดกฎหมายนี้ขึ้นในปี ค.ศ. 1964 แต่ว่าคนผิวสีก็ยังตกอยู่ในสภาพคนชายขอบของสังคม ได้เป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสร้างสรรค์งานศิลปะ ทั้งเพลงบลูแจ็ซและเร้กเก้ และอีกด้านหนึ่งของคนผิวสีที่ต้องเผชิญ พวกเขาได้แสดงออกมาอย่างเกรี้ยวกราด ดิบหยาบ ประกาศให้เห็นถึงความ ขบถ ดังเช่น ดนตรีแร็ปที่เต็มไปด้วยคำด่าทอสังคมอย่างไม่เกรงกลัว รอยขูดขีดเขียนถือกำเนิดมาในยุคสมัยนี้
ในช่วยปลายทศวรรษที่ 60 รอยขูดขีดเขียนเดินทางเข้าสู่นิวยอร์ก โดย JULIO204 ไรเตอร์จากสลัมย่านบรองซ์นำเข้าไปเผยแพร่ ต่อมาในปีค.ศ. 1969 ที่นิวยอร์ก “ทากิ” ไรเตอร์ชื่อดังที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นยุคสมัยของเหล่าไรเตอร์หรือนักเขียนรอยขูดขีดเขียนโดยแท้จริง เมื่อคำว่า TAKI 183 ของเขา ได้รับการสัมภาษณ์และเปิดเผย ตีพิมพ์ภาพลายเซ็นของเขาในหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์ส คำว่า TAKI 183 ที่เขาเขียนปรากฏให้เห็นทั้งในรถไฟใต้ดินและสถานที่สำคัญอย่างบรอดเวย์ สนามบินเคนเนดี รวมทั้งที่ต่าง ๆ ทั้งในนิวเจอร์ซีย์คอนเนตทิคัต และสถานที่อื่น ๆ ทั่วนิวยอร์ก
หลังจากหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้วางแผง วัยรุ่นจำนวนไม่น้อยต่างประทับใจในชื่อเสียงของทากิ พวกเขาจึงเริ่มเขียนชื่อของตัวเองตามสถานที่สาธารณะ จนค่อย ๆ ได้รับความนิยมและคึกคักในเวลาต่อมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงต้นทศวรรษที่ 70 รอยขูดขีดเขียนได้ถูกเขียนเต็มไปหมดจากไรเตอร์อย่าง TRACY168 StayHigh149 และ PHASE2 เริ่มเขียน “tag” (แท็ก) หรือลายเซ็นของตนตามโบกี้รถไฟ
ในปี ค.ศ. 1972 TOPCAT ได้นำเทคนิคใหม่ เข้าสู่นิวยอร์ก คือตัวอักษรยาว ๆ เก้งก้างเต็มพื้นที่คอนเทนเนอร์รถไฟ ต่อมารูปแบบนี้ได้รับความนิยมจากเหล่าไรเตอร์นิวยอร์ก และเรียกว่าเป็น “Broadway Elegant” ซึ่งมีลักษณะเป็นตัวอักษรที่เขียนต่อก่อเป็นแถวยาว ๆ
ปี ค.ศ. 1973 รอยขูดขีดเขียนปรากฏอยู่แทบทุกซอกมุมตึกในนิวยอร์ก ดังที่ ริชาร์ด โกด์สไตน์ เขียนลงนิวยอร์กแม็กกาซีนไว้ว่า “ดูเหมือนเหล่าวัยรุ่นหนุ่ม ๆ แทบจะไม่สนใจอะไรเลย นอกจากมองหาทำเลที่พวกเขาจะพ่นรอยขูดขีดเขียน” โกลด์สไตน์เองได้จัดให้มีการประกวดรางวัล “ทากิอวอร์ด” ขึ้นเพื่อคัดเลือกรอยขูดขีดเขียนที่เขาคิดว่าดีที่สุดในขณะนั้น โกลด์สไตน์กล่าวอีกว่า กระแสความคลั่งไคล้รอยขูดขีดเขียนในขณะนั้น ไม่ต่างจากความบ้าคลั่งที่พวกเขามีต่อดนตรียุคร็อกแอนด์โรลในยุคทศวรรษที่ 50 เลย
รอยขูดขีดเขียนได้รับความนิยมขึ้นอีก เมื่อไรเตอร์จากประเทศต่าง ๆ หรือแต่ละท้องถิ่นนำผลงานของตนไปเผยแพร่ตามที่ต่างๆ จากทั่วสหรัฐอเมริกาถูกส่งต่อไปหลายประเทศในยุโรปนอกจากนั้นยังมีการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับรอยขูดขีดเขียนขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ แอลเอ นิวยอร์ก หรือย่านมิดเวสต์ โดยงานแรก ๆ ที่ถูกบันทึกไว้คืองาน Frame Exhibition ที่แอลเอราวปี ค.ศ. 1988และในปี ค.ศ. 1993-1996 Chicago Transit Authority (CTA) รับเป็นผู้สนับสนุนหลักในการจัดการแข่งขันรอยขูดขีดเขียน โดยผู้ชนะเลิศจะได้ทุนการศึกษาและได้เข้าเรียนในโรงเรียนสอนศิลปะ นับเป็นตัวอย่างแรก ๆ ของการนำรอยขูดขีดเขียนเข้าสู่ “พื้นที่จัดวาง” อย่างเป็นระบบ
กระแสรอยขูดขีดเขียนในระดับสากลได้เกิดขึ้นเมื่อเว็บไซต์รอยขูดขีดเขียน ที่ชื่อ Art Crimes ในโลกออนไลนด์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อเดือน กันยายน ปี ค.ศ. 1994 โดยในปี 1999 อาร์ตไครมส์อ้างว่าเว็บไซต์็ของเขามีภาพรอยขูดขีดเขียนมากกว่า 3,000 ภาพจาก 205 เมือง ใน 43 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการเกิดของอาร์ตไครมส์ได้เกิดไรเตอร์หน้าใหม่และนิตยสารเกี่ยวกับรอยขูดขีดเขียนแพร่หลายขึ้น
ทุกวันนี้รอยขูดขีดเขียนพัฒนากลายเป็นแฟชั่นที่พบเห็นในชีวิตประจำวัน ทั้งลวดลายแท็กที่พบตามเสื้อผ้าแนวสตรีตอาร์ตไม่ว่าจะเป็นรองเท้าผ้าใบ ไปจนถึงมิวสิกวิดีโอโดยศิลปินฮิปฮอปในเอ็มทีวีซึ่งมักมีภาพรอยขูดขีดเขียนปรากฏเป็นแบ็กกราวด์
ประเภทของกราฟฟิตี้
“Tag” คือการเซ็นลายเซ็นหรือนามแฝงของแต่ละคนโดยสเปรย์กระป๋อง หรือ ปากกา ส่วนมากใช้สีเดียว บางคนอาจพ่นเป็นตัวอักษรธรรมดา ขณะที่บางคนดีไซน์ให้เป็นตัวอักษรที่เกาะเกี่ยวกันจนอ่านไม่ออก เน้นให้ดูแปลกและสะดุดตา
“Throw-ups” คือการเขียนเร็ว ๆ ด้วยสีพื้นฐาน จำนวนน้อยสีนิยมใช้สีขาวดำ แสดงให้เห็นเส้นสายที่รวดเร็ว เป็นการเขียนตัวอักษรน้อยตัว มีเส้นตัดขอบเพื่อให้ดูมีมิติ ไม่เน้นความสวยงาม เพราะต้องทำแข่งกับเวลา
“Fill-in” หรือ “Piece” คือ “Throw-ups” ที่ซับซ้อนขึ้น เป็นผลงานของไรเตอร์คนเดียว เป็นการพ่นสีสเปรย์ให้เป็นภาพหรือตัวอักษรที่สวยงาม ใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์
“Block” หรือ “Bubble” การเขียน Tag ที่ดูมีมิติมากขึ้น ใช้สีประมาณ 3 สี หรือมากกว่านั้น
“Wildstyle” หรือ “Wickedstyle” เป็นสไตล์ที่ซับซ้อนขึ้น มีการเกาะเกี่ยวกันของตัวหนังสือ ลักษณะการเขียนประเภทนี้จะอ่านค่อนข้างยาก เพื่อแสดงความเหนือชั้นของการดีไซน์
“Blockbuster” คือ “Fill-in” ที่เขียนที่ตั้งใจเขียนทั้งผนัง
“Character” คือการพ่นเป็นรูปคน หรือ คาแร็กเตอร์ต่าง ๆ ไม่วาจะเป็นตัวการ์ตูน หรือเป็นภาพเสมือนจริงของดารา-นักร้องในดวงใจ หรืออาจเป็นตัวการ์ตูนที่ไรเตอร์ออกแบบเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไรเตอร์คนนั้น ๆ
“Production” คือ การรวมรอยขูดขีดเขียนทุกรูปแบบไว้ด้วยกัน เกิดจากการรวมที่ไรเตอร์หลายคนหรือหลายกลุ่มนัดกันสร้างผลงานร่วมกัน โดยมีธีมไปในทิศทางเดียวกันหรือสอดคล้องกัน เช่น นัดกันพ่นคาแร็กเตอร์ประจำตัวของไรเตอร์แต่ละคนหรือพ่นชื่อกลุ่ม ชื่อตัวเอง หรือเปล่าไรเตอร์อาจร่วมกันกำหนดวาระต่าง ๆ ขึ้น
“Throw-ups” คือการเขียนเร็ว ๆ ด้วยสีพื้นฐาน จำนวนน้อยสีนิยมใช้สีขาวดำ แสดงให้เห็นเส้นสายที่รวดเร็ว เป็นการเขียนตัวอักษรน้อยตัว มีเส้นตัดขอบเพื่อให้ดูมีมิติ ไม่เน้นความสวยงาม เพราะต้องทำแข่งกับเวลา
“Fill-in” หรือ “Piece” คือ “Throw-ups” ที่ซับซ้อนขึ้น เป็นผลงานของไรเตอร์คนเดียว เป็นการพ่นสีสเปรย์ให้เป็นภาพหรือตัวอักษรที่สวยงาม ใช้เวลานานในการสร้างสรรค์ เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์
“Block” หรือ “Bubble” การเขียน Tag ที่ดูมีมิติมากขึ้น ใช้สีประมาณ 3 สี หรือมากกว่านั้น
“Wildstyle” หรือ “Wickedstyle” เป็นสไตล์ที่ซับซ้อนขึ้น มีการเกาะเกี่ยวกันของตัวหนังสือ ลักษณะการเขียนประเภทนี้จะอ่านค่อนข้างยาก เพื่อแสดงความเหนือชั้นของการดีไซน์
“Blockbuster” คือ “Fill-in” ที่เขียนที่ตั้งใจเขียนทั้งผนัง
“Character” คือการพ่นเป็นรูปคน หรือ คาแร็กเตอร์ต่าง ๆ ไม่วาจะเป็นตัวการ์ตูน หรือเป็นภาพเสมือนจริงของดารา-นักร้องในดวงใจ หรืออาจเป็นตัวการ์ตูนที่ไรเตอร์ออกแบบเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของไรเตอร์คนนั้น ๆ
“Production” คือ การรวมรอยขูดขีดเขียนทุกรูปแบบไว้ด้วยกัน เกิดจากการรวมที่ไรเตอร์หลายคนหรือหลายกลุ่มนัดกันสร้างผลงานร่วมกัน โดยมีธีมไปในทิศทางเดียวกันหรือสอดคล้องกัน เช่น นัดกันพ่นคาแร็กเตอร์ประจำตัวของไรเตอร์แต่ละคนหรือพ่นชื่อกลุ่ม ชื่อตัวเอง หรือเปล่าไรเตอร์อาจร่วมกันกำหนดวาระต่าง ๆ ขึ้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)